dogs

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Australian silky terrier



ซิลกี้ เทอร์เรีย (Australian silky terrier) มีถิ่นกำเนิดที่เมืองซิดนี่ ประเทศออสเตรเลีย แต่ยอร์คเชีย เทอเรีย จะมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงต้นๆ "ซิลกี้ เทอเรีย" จะมีชื่อเรียกว่าซิดนี่ ซิลกี้ เทอร์เรีย เป็นการเรียกตามแหล่งกำเนิดคือเมืองซิดนี่ต่อมาเรียกชื่อย่อเป็นพันธุ์ "ซิลกี้ เทอร์เรีย" สุนัขพันธุ์นี้ลงประกวดครั้งแรกในประเทศออสเตรเลีย
ในราวปี 1907 และมีมาตรฐานพันธุ์ขึ้นในปี 1909 และต่อมาได้มมีการนำสุนัขซิลกี้ เทอร์เรีย เข้าไปพัฒนาสายพันธุ์ในอเมริกา ราวปี 1950 และได้ขึ้นทะเบียนต่อ A.K.C. ในปี ค.ศ.19595 ซิลกี้ เทอเรีย เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่จัดรวมอยู่ในกลุ่ม "ทอย" เช่นเดียวกับ "ยอร์คเชีย เทอ เรีย"เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ของสุนัขพันธุ์ออสเตเรียน เทอร์เรียและยอร์คเชีย


มาตราฐานสายพันธุ์

โครงสร้าง : เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดเล็ก ลำตัวสั้นแต่ยาวกว่าส่วนสูง ขนยาว ว่องไว สามารถวิ่งไล่จับหนูได้อย่างคล่องแคล่ว

ศีรษะ : มีขนาดเล็กลักษณะแข็งแรง หัวเป็นรูปลิ่ม ส่วนหูค่อนข้างยาว หัวกะโหลกแบน

หู : มีขนาดเล็ก (แต่ใหญ่กว่ายอร์คเชีย เทอร์เรียอย่างเห็นได้ชัด) มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ขนตั้ง ขนที่ใบหูสั้น (ขนที่หูของยอร์คจะยาวกว่ามาก)

ตา : ค่อนข้างเล็กสีเข้ม แววตาเป็นประกาย ส่อแววฉลาดและร่าเริง

จมูก : มีสีดำ ดั้งจมูกมีมุมหักเล็กน้อย

ปาก : สัดส่วนความยาวของปากต่อกะโหลก ประมาณ 2.5 ต่อ 3.5

ฟัน : แข็งแรงขบแบบกรรไกร ลำตัว : มีความยาวปานกลาง สมส่วน (ลำตัวจะยาวและใหญ่กว่ายอร์คเชีย เทอร์เรีย)

ส่วนอก : กว้างลึก จรดข้อศอก

ขาหน้า : แข็งแรงตั้งตรง เท้าเล็กคล้ายเท้าแมว นิ้วเท้าหนา เล็บสีเข้ม นิ้วติ่งตัดออก เท้าชี้ตรงไปด้านหน้าไม่บิดซ้ายหรือขวา

ขาหลัง : ข้อเท้าหลัง ท่อนบนแข็งแรงซึ่งจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อข้อเท้าหลังทำมุมพอประมาณข้อเท้าหลังสั้น เท้าหลังคล้ายเท้าแมว เล็บสีดำ เท้าชี้ตรงไปด้านหน้า นิ้วติ่งหลังตัดออก

หาง : โคนหางอยู่ในตำแหน่งสูง หางตั้งตรง นิยมตัดหางสั้น บริเวณหางมีขนเล็กน้อย

ขน : ขนมีลักษณะเหยียดตรงเงางามคล้ายแพรวไหม บริเวณหลังขนหูยาวประมาณ 5-6 นิ้ว บริเวณท้องมีขนยาว (ซิลกี้ เทอร์เรีย จะมีขนที่สั้นและบางกว่า ยอร์คเชีย เทอร์เรีย อย่างเห็นได้ชัด)

สี : สีขนสีเทาเงิน-น้ำตาล ขนบริเวณใบหน้าและหูจะสั้น ส่วนท้ายของหัวจรดปลายหางมักจะเป็นสีเทาเงิน บริเวณปากแก้ม หู ข้อเท้าเป็นสีน้ำตาล

ขนาด : เป็นสุนัขขนาดเล็ก (เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะตัวใหญ่กว่า ยอร์คเชียร์

น้ำหนัก : ประมาณ 8-9 ปอนด์ ส่วนสูง : ประมาณ 9-10 นิ้ว อุปนิสัย : สุภาพ เป็นมิตร ฉลาด ตื่นตัวอยู่เสมอ รักเด็กไม่ ขลาดกลัว

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Afghan Hound



ความเป็นมา

จากประเทศที่เขาทำให้ได้ชื่อนี้มา อัฟกัน ฮาวนด์ เป็นสุนัขประจำชาติถึงแม้ว่าจะไม่เป็นทางการก็ตาม ชนพื้นเมืองอัฟกัน เชื่อว่าสุนัขพันธุ์นี้คือสุนัขในภาพวาดบนผนังถ้ำในตอนเหนือของประเทศ แคว้นบัคก์ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สุนัขพันธุ์อัฟกัน ฮาวนด์ มีอีกชื่อหนึ่งว่า บัลก์ฮาวนด์ พวกเขาเป็นนักล่าด้วยสายตามากกว่าการดมกลิ่น เนื่องจากมีสายตาที่ฉับไวเป็นเลิศ และมีความว่องไวซึ่งเป็นสิ่ง สำคัญในการไล่ล่าเหยื่อขนที่หนาฟูปกป้องพวกเขาจากอากาศหนาวจัดในบริเวณตอนเหนือที่มีหิมะตก และในขณะเดียวกันก็ป้องกันพวกเขาจากแสงแดดที่รุนแรงของทะเลทรายอุ้งเท้าที่หนาและใหญ่ และขาหลังที่แข็งแรง ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางข้ามทะเลทราย ร้อนจัดหรือบนเขาขรุขระได้


ช่วงชีวิตเฉลี่ย อัฟกันฮาวน์มีช่วงอายุระหว่าง 12 ถึง 15 ปี


ขนาดและน้ำหนัก เฉลี่ย60 ซม. ถึง 70 ซม.22 กก. ถึง 27 กก.
อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

กล่าวว่านิสัยดีแต่โดดเดี่ยว รักสันโดด พวกเขามีความจงรักภักดี และเชื่อฟังคำสั่งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าขณะที่เป็นลูกสุนัขเขาจะไม่ชอบเล่นสนุกเหมือนสุนัขทั่วๆไป โดยรวมแล้ว สุนัขพันธุ์นี้เข้ากันได้ดีมากกับเด็ก ๆ ไม่ว่าจะคุณจะพาเขาเข้าบ้านตั้งแต่เป็นลูกสุนัขหรือตอนโตแล้ว แล้วก็ตาม พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรภายในบ้านได้อย่างไม่ขัดเขิน หากคุณพาเขาไปข้างนอก ก็ไม่ควรปล่อยให้เขาเดินเล่นโดยไม่มีสายตูง เพราะทันทีที่สายตาเขาเล็งเห็นเป้าหมายที่น่าสนใจ ประสาทหู ของเขาจะไม่ได้ยินเสียงคำสั่งของคุณอีกต่อไป


ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

อัฟกันสามารถปรับตัวให้เข้ากันกับสัตว์อื่น ๆ หากได้รับการเลี้ยงดูและใช้เวลาร่วมกันมา อย่าลืมว่าสุนัขสายพันธุ์ นี้ถูกพัฒนามาเพื่อใช้สายตาในการล่าสัตว์และสัญชาตญาณนั้นจะควบคุมพฤติกรรม เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับ สัตว์แปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักมาก่อน มีผู้กล่าวไว้ว่าสุนัขพันธุ์นี้พร้อมที่จะปรับตัวได้ เมื่อให้เขาได้เริ่มทำความ คุ้นเคยกับสถานการณ์ใหม่ๆ


ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

สำหรับสุนัขชนิดนี้คุณจำเป็นต้องล้อมรั้ว เนื่องจากสายตาที่ว่องไวของเขามักจะก่อให้เกิดปัญหา คุณควรให้เขาได้ ออกกำลังกาย อาบน้ำและได้รับการดูแลรักษาขนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการให้อาหารที่เหมาะสมกับลักษณะการเจริญเติบโตตั้งแต่ยังเป็นเด็กและควรจะเตรียมน้ำสะอาดให้ พวกเขาตลอดเวลาด้วย


ข้อควรจำ
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสมขอเพียงเข้าใจว่าพวกเขาต้องการออกกำลังกายและให้ความสำคัญต่อการดูแลขนอย่างสม่ำเสมอก็สามารถเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์นี้ได้

Alaskan Malamute



อลาสกัน มาลามิวท์ เป็นสุนัขลากเลื่อน แบบเดียวกับไซบีเรียน ฮัสกี้ แต่อลาสกา มาลามิว เก่าแก่กว่า แข็งแรงกว่า มันไม่เพียงแต่สามารถลากสัมภาระหนักเท่านั้น ยังอึดขนาดลากได้ในระยะทางไกลๆ เชียว




ประวัติ

ชื่ออลาสกา มาลามิว คาดว่า น่าจะตั้งตามชื่อของชนเผ่าฮีมัท ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐอลาสกา ชนเผ่านี้เป็นชนเผ่าเร่ร่อน จึงจำเป็นต้องใช้สุนัขลากเลื่อน เพื่อขนย้ายสัมภาระ หรือเดินทางไกล จึงไม่น่าแปลกใจ ที่อลาสกา มาลามิว จะเป็นสุนัขที่ทั้งแข็งแรง และอดทน จนทำให้ชาวฮีมัทเป็นที่อิจฉาของชนเผ่าอื่นๆ ในอลาสกาทีเดียวล่ะ อย่างไรก็ตาม อลาสกา มาลามิว เกือบจะสูญพันธุ์ ในช่วงที่คนผิวขาว เข้ามาบุกเบิกธุรกิจในอลาสกา แต่พอถึง ค.ศ. 1926 ได้มีผู้นำอลาสกา มาลามิว มาเลี้ยงในสหรัฐอเมริกา อลาสกา มาลามิวจึงถูกอนุรักษ์พันธุ์ไว้ในที่สุด
ลักษณะนิสัย ซื่อสัตย์ ทำงานเก่ง ทั้งลากเลื่อน และเฝ้ายาม นอกจากนี้ ยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก สำหรับครอบครัว
ขนาดโดยประมาณ ส่วนสูง 58-71 ซ.ม. น้ำหนัก 39-57 ก.ก.

ต้นกำเนิด Alaskan Malamute
ชื่อสำหรับชาว Inuit เรียกว่า Mahlemuts, Malamute อะแลสกาได้รับงานโดยคนของอาร์กติกตั้งแต่เวลานมนาน สุนัขเหล่านี้มีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพ counterparts ช่วยมนุษยชนในการนำลงและลากซากของเกมใหญ่เช่นแมวน้ำ, สัตว์แคริบูและแม้แต่หมีขั้วโลกเหล่านี้สุนัขขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพช่วย counterparts มนุษยชนในการนำลงและลากซากของ เกมหมีขนาดใหญ่เช่นแมวน้ำ, สัตว์แคริบูและขั้วแม้ สำหรับการช่วยเหลือเพื่อชาวที่สุนัขเหล่านี้ได้รับการรักษาด้วยความเคารพมากโดยคน Mahlemut สำหรับสนับสนุนเพื่อเผ่าของสุนัขเหล่านี้ได้รับการนับถือมากโดยคน Mahlemut ยุโรปที่เริ่มสำรวจอาร์กติกในช่วงศตวรรษที่ 18 มีวาดนี้ยาก, สุนัขที่ทำงานยุโรปที่เริ่มสำรวจอาร์กติกในช่วงศตวรรษที่ 18 มีวาดนี้ยาก, สุนัขที่ทำงาน วิ่งกับการถือกำเนิดของทองในอลาสกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความต้องการของ Malamute อะแลสกา -- มีความสามารถในการดึงคนและอุปกรณ์ต่างๆที่ยิ่งใหญ่ภูมิหิมะของ Alaska -- skyrocketed ด้วยแอดเวนต์ของ rush ทอง ในอลาสกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความต้องการของ Malamute อะแลสกา -- มีความสามารถในการดึงคนและอุปกรณ์ต่างๆที่ยิ่งใหญ่ภูมิหิมะของ Alaska -- skyrocketed ความปรารถนาที่จะไม่เพียง แต่มวลผลิตพันธุ์ แต่ยังทำให้มันเร็วและแรงทำให้วุ่นวายพันธุ์รับผิดชอบในช่วงเวลาของเขาและจากปีค.ศ. 1920 ที่บริสุทธิ์เป็น Malamute สูญหายเกือบปรารถนาที่จะไม่เพียง แต่มวลผลิตพันธุ์ แต่ยังเพื่อให้เร็วขึ้นและแข็งแรงทำให้วุ่นวายพันธุ์รับผิดชอบในช่วงเวลาของเขาและจากปี ค.ศ. 1920 ที่บริสุทธิ์เป็น Malamute สูญหายเกือบ Thankfully, ผสมพันธุ์ North American ตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเขาก่อนที่จะได้สายเกินไปและเริ่มความพยายามที่จะกลับความเสียหาย Thankfully, ผสมพันธุ์ North American ตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเขาก่อนที่จะได้สายเกินไปและเริ่มความพยายามที่จะกลับความเสียหาย โดยช่วงทศวรรษที่ 1930, Malamute อะแลสกาได้พิสูจน์ครั้งที่คุ้มค่ามากขึ้นในอาร์กติกและภารกิจ Antarctic; ที่สุดยวดพันธุ์ได้เลือกที่จะดึง sleds ของ Admiral Richard Byrd ที่ 1933 รีบเร่งของเขาไปยังขั้วโลกใต้โดยช่วงทศวรรษที่ 1930, อะแลสกา Malamute ได้พิสูจน์ครั้งที่คุ้มค่ามากขึ้นในอาร์กติกและภารกิจ Antarctic; ที่สุดยวดพันธุ์ได้เลือกที่จะดึง sleds ของ Admiral Richard Byrd ที่ 1933 รีบเร่งของเขาไปยังขั้วโลกใต้ แต่ไม่ตั้งใจให้เกิดอย่างรวดเร็วอะแลสกา Malamute ยังกลายเป็นสุนัขยอดนิยมเลื่อนแข่งในช่วงเวลานี้แม้ไม่ตั้งใจให้เกิดอย่างรวดเร็วอะแลสกา Malamute ยังกลายเป็นสุนัขยอดนิยมเลื่อนแข่งในช่วงเวลานี้ Malamute อะแลสกาได้รับการยอมรับจากอเมริกันพันธุ์ Club ในปี 1935 เป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน Malamute อะแลสกาได้รับการยอมรับจากอเมริกันพันธุ์ Club ในปี 1935 เป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน DNA หลักฐานล่าสุดได้แสดงให้เห็นว่าลักษณะ wolf -- เช่นอะแลสกาเป็น Malamute หลักฐานไม่ผิดพลาด DNA ล่าสุดพบว่าลักษณะ wolf - like อะแลสกาเป็น Malamute ไม่ผิดพลาด Malamute เป็นหนึ่งใน 14"พันธุ์"โบราณที่มี DNA เป็นอีกคล้ายกับ wolves ดีเอ็นเอของกว่าพันธุ์อื่น ๆ Malamute เป็นหนึ่งใน 14"พันธุ์"โบราณที่มี DNA เป็นอีกคล้ายกับดีเอ็นเอของ wolves กว่าพันธุ์อื่นๆ

***ไซบีเรียนฮัสกี้ กับ อลาสกันมาลามิว คล้ายกันมาก เกือบจะเรียกว่าแฝดเลยเชียวแต่ไม่เหมือนกัน ถ้าสังเกตดีๆ อลาสกันมาลามิว ตัวใหญ่กว่าไซบีเรียน ฮัสกี้ดุกว่าแถมดื้อ อีกต่างหาก

อลาสกัน มาลามิวท์ เกิดมาเพื่อเป็นสุนัขทำงาน เพราะนอกจากลากเลื่อนแล้ว ยังถูกใช้ในการล่าสัตว์ เฝ้ายาม ก็อยากเกิดเป็นสุนัข 'อึด' นี่นา... ขนของอลาสกา มาลามิวท์เป็นขน 2 ชั้น โดยขนชั้นนอกจะหยาบหนา และยาว ส่วนขนชั้นใน จะอ่อนนุ่ม และมีน้ำมัน จากใต้ผิวหนังมาหล่อเลี้ยง อลาสกัน มาลามิวท์ จึงทนกับภูมิอากาศที่หนาวเย็น และพายุหิมะในแถบขั้วโลกเหนือได้ เป็นอย่างดี สีของขนอาจพบได้ ตั้งแต่สีเทาอ่อน เทาดำ สีเหลืองทองอมแดง หรือสีน้ำตาลปนแดง



ข้อแตกต่างของ "อลาสกัน มาลามิวท์" และ "ไซบีเรียส ฮัสกี้"
เจ้าอลาสก้า เป็นสุนัขที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนที่อาศัยอยู่ขั้วโลกเหมือนกัน แต่อันที่จริงแล้ว เป็นคนละสายพันธุ์กันโดยสิ้นเชิง ทั้งอุปนิสัยและรูปร่างตามมาตรฐาน เช่น ไซบีเรียนอาจจะมีตาสีน้ำตาล ฟ้า ตาสองสี แต่อลาสก้าห้ามมีตาสีฟ้าเด็ดขาด จะถือว่าเป็นข้อด้อย และรูปร่างที่ดีของอลาสก้าจะต้องสูงใหญ่มากกว่าไซบีเรียน ส่วนด้านลักษณะนิสัย ไซบีเรียนเป็นสุนัขที่มีความกระตือรือร้นสูง เป็นมิตร สุภาพ ตื่นตัว และเข้าสังคมง่าย ไม่เหมาะเป็นสุนัขเฝ้ายามเด็ดขาด แต่อลาสก้าจะมีนิสัยที่ต่างกับไซบีเรียน คือความเป็นมิตร เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ ดูสง่างาม พึ่งพาได้ หรือจะสมมติให้ไซบีเรียนเป็นเด็กวัยซน อลาสก้าก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขุมมากกว่า แต่การที่จะเลี้ยงเจ้าอลาสก้าได้ก็มีเงื่อนไขคือว่า ไม่ควรให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ และก็ไม่ควรเลี้ยงตามห้องชุดที่มีพื้นที่คับแคบด้วย เพราะอลาสก้าเดิมทีเป็นสุนัขลากเลื่อนมีความแข็งแรง ถ้าหากเลี้ยงขังเอาไว้ไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีได้
แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะทั้งไซบีเรียนและอลาสก้าต่างมีนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ไม่เหมาะที่จะมาเฝ้าบ้าน เพราะเป็นสุนัขใช้งานทั่วๆไปที่มีพลังงานสูงต้องการการออกกำลังมาก มันควรได้รับการปฏิบัติแบบเพื่อนเดินทางและสุนัขลากเลื่อนไม่ใช่สุนัขอารักขา ทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีความอ่อนโยนและซื่อสัตย์ แต่ด้วยรูปร่างที่ตัวโต ดูน่ากลัว อาจทำให้โจรไม่กล้าเข้าบ้านเลยก็ได้
ในการเล้ยงสุนัข ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหนๆต่างก็ต้องการการดูแลไม่ต่างกัน แต่ถ้าเป็นพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงอย่างเจ้าอลาสก้าก็ต้องอาศัยการดูและเอาใจใส่ที่มากกว่าสุนัขธรรมดา ดังนั้นการเลี้ยงเจ้าอลาสก้าจึงไม่ใช่การซื้อมาและปล่อยไปตามเรื่องตามราว แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงไปมากสำหรับคนที่รักสุนัข และเจ้าอลาสก้าเป็นสุนัขที่รักเจ้าของ ทำให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนได้เหมือนกับเป็นสมาชิกตัวหนึ่งในครอบครัวเลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

American Eskimo Dog



อเมริกันเอสกิโมเป็นสุนัขขนาดเล็ก Nordic ประเภทขนาดกลางที่มีลักษณะเล็ก Samoyed มีสามพันธุ์ : ของเล่น, เล็ก, และมาตรฐาน อเมริกันเอสกิโมมีหัวรูปลิ่มด้วยปากกระบอกปืนและกะโหลกศีรษะเกี่ยวกับความยาวเดียวกัน ได้ยกหูรูปสามเหลี่ยมและหาง plumed หนักกว่าดัดหลัง ขนเสมอขาวหรือขาวหรือครีมบิสกิตเครื่องหมาย ผิวของพวกเขาคือสีชมพูหรือสีเทา ขนเป็นหนักรอบคอสร้างสร้อยหรือสร้อยโดยเฉพาะในเพศชาย พันธุ์เล็กน้อยนานกว่าจะสูง จะเข้าใจผิดบางครั้งสำหรับสุนัขพันธุ์หนึ่งของญี่ปุ่นและ Samoyed Dog

ประวัติความเป็นมา
The American Eskimo Dog ("Eskie")"เป็นรูปแบบที่ทันสมัยของครอบครัวโบราณมากของสุนัข สุนัขพันธุ์หนึ่งสุนัขชนิดการพัฒนาในอาร์กติกและบริเวณตอนเหนือของโลกประเภทใหญ่ถูกใช้เป็นสุนัขเลื่อน สุนัขอเมริกันเอสกิโมใช้เพื่อภูมิอากาศทั้งในเชิงลบและสามารถทนต่อความร้อน แต่หิมะ สุนัขเหล่านี้คล้าย wolves และ absolutelly รักฝน, หิมะหรือเงา พวกเขาจะทำดีในพื้นที่อากาศ แต่ไม่แนะนำสำหรับสภาพอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี แต่ Eskie เป็นพันธุ์เฉพาะเพื่อป้องกันคนและทรัพย์สินและมีอยู่ในอาณาเขตโดยธรรมชาติและสุนัขดูดี เขามากจงรักภักดีต่อครอบครัวและเป็นที่รู้จักกันเป็นอ่อนโยนและขี้เล่นกับเด็กอ้างอิง [จำเป็น] เขามีพลังการแจ้งเตือนและฉลาดมาก ในยุโรปเหนือสุนัขพันธุ์เล็กได้เก็บไว้เป็นหลักเป็นสัตว์เลี้ยงและ watchdogs และในที่สุดได้พัฒนาเป็นหลายสายพันธุ์สุนัขพันธุ์เยอรมัน ยุโรปอพยพมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์หนึ่งกับพวกเขาในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ New York ในช่วงต้นทศวรรษ 1900"ทั้งหมดของพวกเขาลงมาจากสุนัขพันธุ์ใหญ่เยอรมัน, Keeshond, สีขาวเกี่ยวกับแคว้นพอเมอะเรเนียะและอิตาลีสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ Volpino Italiano แต่สีขาวไม่เสมอสีที่ยอมรับในหลายสายพันธุ์สุนัขพันธุ์เยอรมันก็คือโดยทั่วไปสีที่ต้องการในสหรัฐอเมริกา . ในการแสดงผลของความรักชาติในยุคประมาณสงครามโลกครั้งที่เจ้าของสุนัขเริ่มหมายถึงสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นชาวอเมริกัน สุนัขพันธุ์สุนัขพันธุ์หนึ่งมากกว่าเยอรมัน เปลี่ยนชื่อนี้คล้ายกับการใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาของเฟ Freedom ระยะมากกว่ามันฝรั่งทอดอ้างถึงจานมันฝรั่งที่เป็นที่นิยมในข้อพิพาทระหว่างประเทศฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาก่อน 2003 การบุกรุกของอิรัก หลังสงครามโลกครั้งที่สุนัขสุนัขพันธุ์เล็กมาถึงความสนใจของสาธารณชนอเมริกันเมื่อสุนัขบันเทิงเป็นที่นิยมในวงเวียนอเมริกัน In 1917, Cooper บราเดอร์ของรถไฟ Circus featured สุนัข สุนัขชื่ออ้วนของ Pal Pierre มีชื่อเสียงเดินเส้นขึงตึงที่ใช้ในการเดินไต่หรือเล่นกายกรรมด้วย Barnum Bailey Circus และในช่วงทศวรรษที่ 1930 เนื่องจากความนิยมของสุนัขละครสัตว์หลายวันนี้ American Eskimo Dogs สามารถติดตามเชื้อสายของสุนัขเหล่านี้กลับไปที่วงเวียน หลังสงครามโลกครั้งที่สุนัขยังคงเป็นที่นิยมเลี้ยง ติดต่อหลังสงครามกับประเทศญี่ปุ่นนำไปสู่การนำเข้าในประเทศสหรัฐอเมริกาของญี่ปุ่นสุนัขพันธุ์หนึ่งซึ่งอาจมีการข้ามสายพันธุ์เข้าในขณะนี้ สายพันธุ์ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกเป็น"อเมริกันเอสกิโม"เป็นต้นเป็น 1919 โดย American United พันธุ์ Club (UKC) และเขียนบันทึกแรกและประวัติของสายพันธุ์ได้พิมพ์ใน 1958 โดย UKC ในขณะที่มีสายพันธุ์ club ไม่เป็นทางการและไม่มาตรฐานสายพันธุ์และสุนัขได้รับการลงทะเบียนเป็นสุนัขเดียวตามลักษณะ ในปี 1970 แห่งชาติ American Eskimo Dog Association (NAEDA) ก่อตั้งและจดทะเบียนสุนัขเดียวหยุด ในปี 1985 อเมริกันเอสกิโม Dog Club of America (AEDCA) ก่อตั้งขึ้นโดย fanciers ที่ประสงค์จะลงทะเบียนสายพันธุ์กับสุนัขอเมริกัน Club (AKC) ต่อไปนี้ต้องการ AKC สำหรับการยอมรับพันธุ์ AEDCA ที่รวบรวมข้อมูลจาก 1,750 สายเลือดสุนัขที่ตอนนี้เป็นพื้นฐานของ AKC ได้รับการยอมรับสายพันธุ์ที่เรียกว่า American Eskimo Dog สายพันธุ์ได้รับการยอมรับจากอเมริกันพันธุ์ Club ในปี 1995 หนังสือปุ่มเปิด 2000-2003 ในความพยายามที่จะลงทะเบียนมากกว่าเดิมสายลงทะเบียน UKC และวันนี้หลายสุนัขอเมริกันเอสกิโมเป็น dual - ลงทะเบียนกับทั้งสองสโมสรสุนัขอเมริกัน . สายพันธุ์ยังเป็นที่รู้จักโดยแคนาดาพันธุ์ Club เป็นของปี 2006 แต่ไม่รู้จักที่อื่นในโลก The American Eskimo Dog ไม่ใช่สายพันธุ์สากลและเนื่องจากไม่มีของชมรมสุนัขอเมริกันเป็นพันธมิตรกับสภา Cynologique คอมมิวนิสต์, fanciers ประสงค์จะเข้าร่วมในการแสดงสุนัขนานาชาติที่จะลงทะเบียนสุนัขอเมริกันเอสกิโมเป็นคล้ายสุนัขพันธุ์เยอรมัน นี้จะกระทำโดยเฉพาะบุคคลที่ประสงค์จะเข้าร่วมในกีฬาสุนัขในการแสดงระหว่างประเทศและไม่ได้หมายความว่าสุนัขอเมริกันเอสกิโมและเยอรมันสุนัขพันธุ์หนึ่งเหมือนกัน สายพันธุ์อาจมีต้นกำเนิดทั่วไปที่เหมือนกัน แต่มีการพัฒนาแตกต่างกันในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา




American Bulldog



มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ จัดอยู่ในกลุ่มมาสติฟ (Mastiff) โดยเชื่อกันว่าบูลด็อกเป็นสุนัขกลายพันธุ์มาจากสุนัขพันธุ์ Tibetan Mastiff ที่ดูโครงสร้างภายนอกไม่สมประกอบ มีตำราบางเล่มระบุว่าบูลด็อก สุนัขที่เกิดจากการถูกผู้เลี้ยงดูอย่างทรมานเพื่อให้ได้มาซึ่งสุนัขที่มีรูปร่างหน้าตาไม่สมประกอบ เช่น การนำวัสดุแข็งๆมาทำเป็นหน้ากากคลุมหัวบูลด็อกไว้ เพื่อให้มีใบหน้าสั้นผิดปรกติไปจากสุนัขตัวอื่นๆ หรือการยับยั้งการเจริญเติบโตของสุนัขด้วยการขังไว้ในที่แคบๆจนแทบไม่สามารถกระดิกตัวได้ เพื่อให้สุนัขมีรูปร่างแคระแกร็น คำว่า บูล (Bull) ซึ่งหมายถึงบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีรูปร่างคล้ายวัวขนาดเล็ก ชื่อนี้ได้มาจากการที่ชาวอังกฤษในสมัยยุคก่อนๆได้ฝึกสุนัขพันธุ์นี้ไว้เพื่อต่อสู้กับวัว เป็นการยากที่จะหาหลักฐานมาอ้างอิงว่าบูลด็อกกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อใดแต่มีข้ออ้างอิงที่เป็นไปได้คือ ในสมัยปี ค.ศ. 1209 ซึ่งตรงกับยุคสมัยของกษัตริย์จอห์นโดยท่านลอร์ดวิลเลี่ยม เอริล์วอร์เรนได้มองเห็นวัว 2 ตัว กำลังต่อสู้กันในสนามหญ้าหน้าวังของท่าน เพื่อแย่งชิงวัวตัวเมียอีกตังหนึ่ง จนกระทั่งฝูงสุนัขเลี้ยงวัวของคนเลี้ยงวัวได้ออกมาขับไล่วัวคู่นั้นออกไปจากบริเวณสนามท่านลอร์ดมีความยินดีมากและเกิดความคิดที่ว่าจะให้มีเกมกีฬาชนิดใหม่ขึ้นมาคือกีฬาสุนัขต่อสู้กับวัว ซึ่งต่อมาก็เป็นกีฬาที่นิยมกันมากในประเทศอังกฤษ บูลด็อกโดยมากจะได้รับการฝึกให้มีนิสัยก้าวร้าวดุร้าย โดยเจ้าของสุนัขจะลงโทษด้วยวิธีการที่เจ็บปวด จึงทำให้บูลด็อกในอดีตมีนิสัยที่ดุร้าย ในการต่อสู้ในเกมกีฬาที่แสนหฤโหดและนองเลือด บูลด็อกจะถูกปล่อยลงสนามให้ต่อสู้กับวัวที่กำลังบ้าคลั่งโดยมันจะบุกโจมตีบริเวณใบหูของวัว และกัดอยู่นานจนกว่าจะล้มวัวตัวนั้นได้ ต่อมาก็ได้มีการผสมพันธุ์เจ้าหน้าแก่นี้เสียใหม่ให้มีตัวเล็กลง เพื่อความว่องไวและปราดเปรียว ขณะเดียวกันจมูกที่เคยโด่งออกก็ถูกผสมให้แนบแบนติดกับใบหน้าเสีย เพราะจะทำให้มันโจมตีคู่ต่อสู้ได้นานกว่าเดิม


มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : บูลด็อกที่สมบูรณ์แบบต้องมีขนาดปานกลาง รูปรางบึกบึนและหนา กระดูกและกะโหลกศีรษะมีขนาดใหญ่มาก หน้าสั้น ใหญ่ กว้าง บริเวณหน้าผากมีรอยย่นลึก ตาอยู่ในตำแหน่งห่างจากใบหู กล้ามเนื้อหนังตาบนจะย่นเหมือขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากหนาและกว้าง มีกล้ามเนื้อหนาแน่น แขน ขาล่ำสัน แข็งแรง แผ่นหลังโค้งเล็กน้อย และจะยกสูงบริเวณสะโพก ลำตัวส่วนท้องจะคอด กระดูกซี่โครงมีลักษณะห่อกลมคล้ายมะขามป้อม ตะโพกค่อนข้างเล็ก หางสั้นและขดแน่นกับส่วนหลัง ด้านอุปนิสัยมีความทรหดอดทน อารมณ์คงที่มั่นคงอย่าเสมอต้นเสมอปลาย มีความตั้งใจแน่วแน่ กล้าหาญ พฤติกรรมที่แสดงออกเป็นไปอย่างสงบและสง่า ท่าทางการเดินมีลักษณะแปลกเฉพาะตัว คล้ายข้อต่อกระดูกไม่แข็งแรง เหมือนการลากไป มีลักษณะการเคลื่อนที่ไปทางด้านข้างคล้ายการกลิ้งไป แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ต้องไม่เกร็ง เป็นอิสระและเข้มแข็ง

ศีรษะ : ควรมีขนาดใหญ่ เมื่อวัดรอบศีรษะ โดยวัดจากด้านบนลงล่างผ่านใบหูควรจะมีความยาวมากกว่าความสูงของตัว เมื่อมองจากด้านหน้าศีรษะควรสูงมาก เมื่อมองจากมุมของขากรรไกรล่างไปถึงจุดสูงสุดของกะโหลกกว้างมากเป็นสี่ เหลี่ยม เมื่อมองจากด้านข้างศีรษะอยู่สูงมาก และจากจมูกถึงท้ายทอยสั้นมาก หน้าผากควรมีรอยย่นลึกเป็นแนว และมีเส้นผ่าลึกลงมาจากส่วนบนมายังจมูกและปาก

จมูก : จมูกควรใหญ่ แลดูกว้างแต่สั้น ปลายจมูกควรจะมีรอยย่นลึก จมูกมีเส้นแบ่งเขตแนวชัดเจน รูจมูกใหญ่และเชิด จมูกควรจะมีสีเข้ม หากเป็นสีดำสนิทได้ยิ่งดี จมูกสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำไม่เป็นที่นิยม จมูกแดงเป็นสีเดียวกับสีผิวถือว่าผิดลักษณะ และถ้าจมูกเป็นสีชมพูถือว่าเป็นจุดด้อยอย่างมาก นอกจากนี้จมูกต้องไม่แห้งหรือเปียกชุ่มเกินไป

ปาก : ริมฝีปากบนควรหนา กว้างและลึกมากห้อยลงมาปิดกรามล่างได้มิดชิด หากมองจากด้านข้างจะปิดริมฝีปากล่างและฟันมิดชิด แผ่นหลังที่หุ้มปากทั้งสองด้านควรมีขนาดใหญ่และยาวเท่าๆ กัน ขากรรไกรล่างใหญ่กว้าง เป็นสี่เหลี่ยมยื่นเลยขากรรไกรบนและงอนขึ้น

ฟัน : ฟันควรอยู่ครบ 42 ซี่ ฟันล่างจะเกยอยู่ด้านนอก ฟันที่ดีต้องซี่ใหญ่แข็งแรงมั่นคง ฟันที่ยื่นออกมาต้องไม่มีลักษณะโค้งงอ ฟันเขี้ยวอยู่ห่างจากกัน ฟันตัด 6 ซี่ที่อยู่ด้านหน้าระหว่างฟันเขี้ยวอยู่ในแนวระดับเดียวกัน เวลาอ้าปากจะเห็นฟันซี่เล็กๆ 6 ซี่ทางด้านหน้า เวลาหุบปากไม่ควรจะให้เห็นฟันจึงจะดี และฟันควรขาวสะอาด

ตา : ดวงตาควรมีลักษณะกลม ขนาดปานกลาง ไม่จมลึกหรือยื่นออกมามากเกินไป เมื่อมองจากด้านหน้าจะฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะ อยู่ห่างจากหูมาก และตาทั้ง 2 ข้างไม่ควรอยู่ห่างกันมากนัก สีลูกตาควรเป็นสีเข้ม หนังตาปิดตาขาว

หู : ฐานหูทั้ง 2 ข้างควรจะยกสูงและควรจะอยู่ในตำแหน่งที่สมดุลกัน ใบหูควรเล็กและบาง ปลายหูควรพับลงมาแนบกับศีรษะ ควรอยู่ห่างจากตาพอเหมาะ ลักษณะใบหูที่ดีควรมีลักษณะโคนตั้งปลายตกหรือกับกลีบดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด หูไม่ควรตั้งตรงและไม่ควรตกลงมาทั้งหมด

คอ : เนื่องจากบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีส่วนหัวใหญ่ ลำคอจึงควรใหญ่หนา สั้นและแข็งแรง และเป็นส่วนโค้งทอดไปยังส่วนหลัง หนังใต้ลำคอจะหย่อนลงมาเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ควรปล่อยให้ยาน เพราะถ้ายานและมีหนังหย่อนมามากแสดงว่ากำลังอ้วนเป็นพะโล้ แก้ไขโดยการออกกำลังกายบ่อยๆ

ไหล่ : หัวไหล่ควรมีขนาดใหญ่ กว้างและมีมัดกล้ามเนื้อหนา ก่อให้เกิดความสมดุลและพละกำลังมาก

อก : กว้างมาก ลึกและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เห็นกล้ามเนื้อที่อกได้ชัดเจน ซี่โครงโค้งกลมจากหัวไหล่จนไปถึงจุดต่ำสุดของหน้าอก ทำให้สุนัขมองดูมีลักษณะกว้าง เตี้ยและขากว้าง

ลำตัว : แข็งแรงกำยำ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ควรผอมจนเห็นซี่โครงและไม่ควรอ้วนจนมองไม่เห็นกล้ามเนื้อบริเวณท้องน้อย ควรจะขอดเล็กน้อย แนวสันหลังควรสั้นและแข็งแรง บริเวณที่ไหล่กว้างมากและค่อนข้างแคบ บริเวณบั้นท้ายซึ่งเป็นจุดที่ควรสูงกว่าความสูงที่ไหล่และมีความโค้งลาดต่ำ อีกครั้งลงไปที่หาง ซึ่งเป็นลักษณะที่เด่นชัดมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ จึงเรียกว่าหลังแมลงสาบหรือหลังวงล้อ

สะโพก : ควรจะโค้งมนได้รูป ส่วนก้นกลมและไม่มีกระดูกโปนออก

ขาหน้า : ควรสั้น สุนัขพันธุ์นี้มีขาหน้าที่สั้นกว่าขาหลัง ดังนั้นเมื่อสุนัขยืนจะทำให้ช่วงหน้าของลำตัวต่ำกว่าบั้นท้าย ขาที่ดีต้องแข็งแรง กระดูกขาใหญ่ ต้นขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ขาหน้าเวลายืนควรอยู่ห่างกัน ช่วงบนของขาหน้าแลดูเป็นวงโค้ง ข้อศอกควรอยู่ห่างจากลำตัว เท้าและนิ้วเท้าใหญ่พอประมาณแลดูกระทัดรัด เล็บที่ขาควรมีสีเข้มและควรเป็นสีเดียวกันกับขนบนลำตัว

ขาหลัง : แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและยาวกว่าขาหน้า เวลายืนตะโพกจะเชิดสูงทำให้ดูหลังแอ่น ส่วนขาควรสั้นและแข็งแรง ลักษณะของเท้าที่ดี ข้อเท้าที่ขาหลังควรจะหันออกจากลำตัวเล็กน้อย ขาหลังควรบิดออกเล็กน้อย

เท้า : ควรมีขนาดปานกลาง กระทัดรัดและแข็งแรง ปลายเท้าหน้าอาจตรงหรือเปิดออกเล็กน้อย แต่ขาหลังควรยื่นออกด้านนอก

หาง : อาจตรงหรือเป็นเกลียว แต่ไม่โค้งหรือม้วน หางต้องสั้น ห้อยต่ำ โคนหางใหญ่ ปลายเล็ก ถ้าหางเป็นเกลียว การม้วนหรือขมวดของหางจะมีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายก้นหอยแต่ต้องไม่หงิกงอ ปลายหางไม่ควรม้วนลงไปถึงโคนหาง

ขน : ขนควรสั้นและเหยียดตรงแบนราบกับลำตัว สีของขนควรสม่ำเสมอ สะอาดสดใสและดูเป็นมันเงา ขนต้องไม่ยาวหรือขึ้นเป็นลอน

ผิวหนัง : อ่อนนุ่มและไม่ตึง โดยเฉพาะที่หัว คอและหัวไหล่ รอยย่นและเหนียงตรงคอ ศีรษะและหน้าควรปกคลุมด้วยรอยย่นขนาดใหญ่ และที่คอจากขากรรไกรจนถึงหน้าอกควรจะมีรอยย่นที่ห้อยออกมาเป็น 2 แนว

สี : สีขนของบูลด็อกมีหลายสี สำหรับสีขนที่ถือเป็น 2 สีในตัวเดียวกัน ในสุนัขที่มี 2 สี แต่ละสีควรเป็นสีเดียวที่บริสุทธิ์ไม่มีสีอื่นเจือปนให้เป็นสีผสม และควรมีการกระจายสีในลักษณะที่สมดุล บูลด็อกที่มีสีดำทั้งตัวไม่เป็นที่นิยม แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เป็นที่ยอมรับ สำหรับบูลด็อกที่มีสีนอกเหนือจากที่กล่าวมาในข้างต้นถือว่าใช้ไม่ได้

การเดินการวิ่ง : ถึงแม้จะดูอืดอาดเชื่องช้าเวลาเดินต้องส่ายสะโพกไปมา ลักษณะการก้าวย่างควรดูอิสระ คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ไม่อืดอาดเวลาเดิน ลำตัวต้องไม่แกว่งมาก จนดูเหมือนไม่มีกระดูก
น้ำหนักและส่วนสูง: เพศผู้ควรมีน้ำหนักอยู่ในช่วงระหว่าง 24-25 กิโลกรัม เพศเมียอยู่ในช่วง 22-23 กิโลกรัม ส่วนความสูงเพศผู้ควรอยู่ระหว่าง 16-18 นิ้ว และเพศเมียควรสูง 12-15 นิ้ว

ข้อบกพร่อง : จมูกมีสีเนื้อหรือจมูกเผือก

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Scottsh Terrier



สก๊อตติช เทอร์เรียร์(Scottsh Terrier) เป็นหนึ่งในลูกหลานของ สกอตช์ เทอร์เรีย ที่เก่าแก่ช่วงเดียวกับ แดนดี้ ดินมอนท์เทอร์เรียร์ เครน เทอร์เรียร์ และเวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรีย ยังไม่ทราบถิ่นกำเนิดที่แน่นอนของสายพันธุ์นี้ แต่ถ้าดูจากหลักฐานที่เคยมีมาโดยดูจาก รูปร่างและขนาดของสุนัขที่เล็ก มีขนลวด เป็นลักษณะสำคัญที่บอกถึงจุดประสงค์ในการใช้งานของสายพันธุ์ที่เป็นต้นกำเนิด นั่นคือพัฒนาเพื่อการไล่ล่าและกำจัดสัตว์ป่าประเภทต่างๆ เช่น สุนัขจิ้งจอก ตัวแแบดเจอร์ (สัตว์ขนาดเท่าสุนัขจิ้งจอกเท้ามีเล็บอย่างหมี) พังพอน และหนู ที่คอยสร้างปัญหาให้กับชาวนา ชาวสก๊อตในยุคนั้นความสูญเสียที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อผู้คนเหล่านี้ที่การดำรงชีวิตต้องขึ้นอยู่กับผลิตผลที่ได้จากที่ทำกินของเขา ดังนั้นตัวสุนัขจึงถูกพัฒนาให้มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ มีความกล้าหาญ กระทัดรัด และเป็นฝูงสุนัขไล่ล่าที่ทรหด ลักษณะเหล่านี้ยังเป็นเครื่องหมายของสายพันธุ์นี้จนถึงปัจจุบัน

ลักษณะเด่น
มีขนยาว เรียบ ละเอียด เงา สลวยและเงางาม มีขนยาวที่หัว ซึ่งจะรวบหรือรัดด้วยโบว์ก็ได้ มีขนที่จมูกและปากยาว สีขนเป็นสีเงินออกน้ำเงินและสีทอง ลูกสุนัขเกิดใหม่จะมีสีน้ำตาลและสีดำ

นิสัย
เป็นสุนัขขนาดจิ๋วที่ตื่นตัว กระฉับกระเฉง ชอบทำตัวเป็นพี่เบิ้ม ทำนองว่าตัวเล็กใจใหญ่ ชอบให้คนมาเอาใจ เข้ากับเด็กที่เรียบร้อย ควรให้ได้คุ้นเคยกันตั้งแต่เล็ก มันจะเห่าบอกเจ้าของเมื่อมีคนมาหา

การตัดแต่งขนและการออกกำลังกาย
ควรได้รับการดูแลแปรงขนทุกวัน และเนื่องจากมันมีกิจกรรมคือวิ่งเล่นทั่วบ้านอยู่แล้ว จึงไม่ต้องพาไปวิ่งหรือเดินเล่น
ไกลๆ อีก

Lhasa Apso

ลาซา แอปโซ


ส่วนสูง : 10-11 นิ้ว

น้ำหนัก : 14-15 ปอนด์ วงจรชีวิต : 12-14 ปี

การจัดกลุ่มพันธุ์ : สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน
ลักษณะเด่น : มีขนยาว หนัก เป็นเส้นตรง หนาและแน่น แต่ไม่เงางาม สีขนเป็นสีทราย สีน้ำผึ้ง สีควันบุหรี่ สีเทาดำ สีดำ สีขาว หรือหลายสีผสมกัน

นิสัย : เป็นสุนัขอารมณ์ดี ไม่ก้าวร้าว ค่อนข้างเงียบเรียบร้อย หากเจอคนแปลกหน้าแรกๆ อาจจะไม่ไว้ใจ แต่สักพักจะค่อยๆ สำรวจและทำความรู้จัก อาจจะเล่นกัดเจ็บๆ กับเด็ก ดังนั้น การนำไปฝึกสอนและให้ได้คุ้นเคยกับเด็กตั้งแต่เล็กจึงมีส่วนสำคัญ การฝึกสอนควรเป็นไปอย่างช้าๆ และให้คำชมเชยเมื่อทำตามคำสั่งการตัดแต่งขนและการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ขนพันกัน หรือจับตัวเป็นก้อน ควรหมั่นแปรงขนให้ทุกวัน การเล็มขนก็ทำได้แสนง่ายโดยตัดให้สั้นลง ควรให้มันได้เดินเล่นใกล้ๆ บ้านทุกวัน


ถิ่นกำเนิด : เจ้าสิงโตน้อยมีที่มาจากประเทศทิเบตเมื่อ 800 ปีก่อนคริสตกาล เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ ลาซา แอปโซ เมื่อราวศตวรรษที่ 7 เจ้าสิงโตน้อยตัวนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงไว้เฝ้าวัดและโบสถ์ของศาสนาพุทธ มันจะเห่าบอกเมื่อมีผู้บุกรุก


ข้อควรระวังเป็นพิเศษ : ไม่เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงมือใหม่


ปัญหาสุขภาพของสายพันธุ์ : โรคเปลือกตาอักเสษ โรคจอรับภาพเสื่อมเรื้อรัง โรคไตตั้งแต่กำเนิด โรคกระดูกสะบ้าเคลื่อน


***สันนิษฐานกันว่า 'Lhasa' น่าจะหมายถึง เมืองหลวงของประเทศธิเบต ในขณะที่ 'Apso' มาจากคำว่า 'abso seng kye' ที่แปลว่า สุนัขเฝ้ายาม หรือไม่ก็มาจากคำว่า 'rapso' แปลว่า คล้ายกับแพะ ซึ่งอาจมี ที่มาจากขนยาวๆ คล้ายกับแพะนั่นเอง อีกชื่อหนึ่งที่ชาวธิเบตมักจะใช้เรียกลาซา แอปโซ คือ สุนัขสิงโต ทั้งนี้อาจเป็น เพราะสีขนน้ำตาลอมทอง ที่คล้ายๆ สิงโตนั่นเอง ใครที่คิดจะเลี้ยงสุนัขตัวนี้ คงต้องรักสุนัขมากๆ และมีเวลาพอสมควร สำหรับการดูแลขน ไม่งั้นขนจะไม่เงางาม และยุ่งเหยิงเสียหมด

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Rottweiler





ร็อตไวเลอร์ มีตำนานเล่าว่าเป็นชื่อที่มันได้มาในย่านตลาดอันคึกคักในเมืองเวิร์ธเท มเบิร์ก พวกพ่อขายปศุสัตว์ที่ออกไปซื้อวัวตามบ้านนอกก็มีวิธีหลบโจร โดยเอากระเป๋าเงินผูกไว้กับคออันล่ำสันของมันและตอนฝูงวัวที่ซื้อมาได้กลับ มาตลาด พวกพ่อค้าเหล่านั้นเอาหมาที่ล่ำสันผูกไว้กับขบวนเกวียนแล้วก็ให้มันทำ หน้าที่ยามไปด้วย เรียกว่าให้หมาเอาเงินไปซื้อ ให้หมาต้อนวัวมา แล้วก็ให้หมาช่วยเฝ้า เป็นงานเหมาของหมาไปเลย

ร็อตไวเลอร์มีต้น กำเนิดตั้งแต่ในยุคโรมัน ซึ่งมีการทำสงครามเพื่อขยายอาณาจักร การทำสงครามสมัยโบราณต้องมีกองเสบียงซึ่งต้องมีฝูงวัวควายเป็นๆ ที่ต้อนไปกับการเดินทัพ (เพราะว่าในสมัยนั้น ยังไม่มีการเก็บเนื้อสัตว์ในระบบแช่เย็น) และต้องมีการใช้สุนัขที่แข็งแรงในการควบคุมฝูงสัตว์ที่เป็นเสบียงเหล่านี้ สุนัขเหล่านี้จะแข็งแรง อดทนมาก เพราะว่าต้องเดินทางไกลข้ามทุ่งข้ามแม่น้ำ ข้ามเขา ต้องผจญกับสัตว์ป่าและคนร้ายที่จะมาปล้นฝูงสัตว์เสบียงเหล่านี้ร็อตไวเลอร์ เหล่านี้บางส่วนจะตกค้างอยู่แคว้น Rottweiler (ซึ่งปัจจุบันเป้นเมืองหนึ่งของประเทศเยอรมันตะวันตก) และต่อมาได้ได้ถูกนำไปใช้งานโดยพ่อค้าเนื้อสัตว์ที่ต้อนฝูงวัวควาย ไปขายยังต่างเมืองโดยวิธีการเอากระเป๋าที่เก็บเงินผูกไว้ที่คออันแข็งแรงของ สุนัข เพื่อป้องกันโจรที่มาปล้นชิง

สุนัขดังกล่าวมานี้ถือเป็นบรรพบุรุษของสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ในปัจจุบันสัญชาตญาณ ร็อตไวเลอร์ อันแรงกล้าใการเฝ้าของมันก็ดี ตลอดจนนิสัยใจเย็นไม่ขี้ตื่นของมันก็ดีเหล่านี้ทำให้มันเหมาะอย่างยิ่งกับ งานด้านทหารและตำรวจ คุณสมบัติอย่างเดียวกันนี้เองรวมกับความจงรักภักดีอย่างยิ่งกับนายทำให้ สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขเฝ้าและ เพื่อนอันประเสริฐ

ร็อตไวเลอร์ แพร่กระจ่ายได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษและสก็อตแลนด์ในช่วงปี 1936 และได้รับการรับรองพันธุ์จาก AMERICAN KENNEL CLUB ในปี 1935 เป็นพันธุ์ที่ 47 โดยระบุจัดอยู่ในประเภท WORKING DOG และ KENNEL CLUB ของอังกฤษก็จัดอยู่ใน WORKING DOG เหมือนกันจะแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็เฉพาะของ FCI ที่กำหนดให้เป็นประเภท GUARD DOGสุนัขพันธุ์ ร็อตไวเลอร์ ได้เริ่มต้นพัฒนาอย่างจริงจัง ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1907-1910 ในประเทศเยอรมันจากแนวความคิดที่ต้องการสุนัขใช้งาน (Working Dog) ซึ่งมีการพัฒนาไปพร้อมๆ กับสุนัขพันธุ์เยอรมันเชดเพอดและโดเบอร์แมนจนถึงถึงปี 1920 มีการจัดตั้งสมาพันธุ์ร๊อตไวเลอร์ ขึ้นในประเทศเยอรมันตะวันตก (Allgemeiner Deutsher Rottweiler Klub หรือ ADRK) ซึ่งเป็นสถาบันที่สร้างมาตราฐานอย่างจริงจัง ในการที่จะทำให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ ของสุนัขร็อตไวเลอร์ที่ถูกต้องและมีคุณภาพ โดยเน้นการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ และการอยู่รวมกับคนในสังคม โดยกำหนดเป็นกฏเกณฑ์การปฏิบัติที่ทั้งผู้เพาะพันธุ์และผู้เป็นเจ้าของสุนัข จะต้องทำตาม เพื่อให้คงลักษณะมาตราฐานสายพันธุ์ของร็อตไวเลอร์เอาไว้อย่างมีคุณภาพ มิใช่เป็นเพียงการพัฒนาที่คงไว้ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น สำหรับ เรื่องราวที่ชาวเยอรมันตอนเหนือ ได้หันมาเพาะอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 19 ก็เพราะประทับใจ ตำนานที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมนั่นคือในคืนวันหนึ่งขณะที่ตำรวจเยอรมันพร้อม สุนัขคู่ใจออกตรวจพื้นที่บนถนน มีกะลาสีเรือ 14 คน กำลังเมาได้ที่ ในร้านเหล้าริมแม่น้ำในเมืองฮัมบูรัก พวกเขาทะเลาะเรื่องหญิงสาว ตำรวจเห็นเหตุการณ์พอดี จึงเข้าไปรักษาความสงบ แต่กะลาสีทั้ง 14 คนเขม่นกรูเข้ามาทำร้ายตำรวจปรากฏว่า เจ้าร็อตไวเลอร์กระโดด เข้าใส่ขี้เมาทั้งหลายจนต้องโกยอ้าวไปตามกันร็อตไวเลอร์ เหมาะสำหรับ ครอบครัวที่ชอบท่องเที่ยว ร็อตไวเลอร์ไม่เหมาะกับคนที่ชอบอยู่แต่ในบ้าน หรือคนที่มีสุขภาพอ่อนแอ ชอบที่อาศัยที่มีบริเวรกว้างใหญ่ มีลานหรือสวนพอให้สุนัขวิ่งเล่น กระโดดได้อย่างอิสระเสรีจะดีที่สุดหางมีที่ให้วิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิ่ง แข่ง การดูแลรักษาความสะอาดสำหรับร็อตไวเลอร์ไม่ยุ่งยากเหมือนสุนัขพันธุ์ขนอื่น และก็ใช้เวลาไม่มากนัก ร็อตไวเลอร์ สุนัขสายพันธุ์ชั้นดีต้องออกกำลังกายมากและสม่ำเสมอ หรือไม่ก็มีอะไรทำอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นให้เฝ้าสัตว์เป็นสุนัขที่ไม่ชอบอยู่ นิ่งเฉย หากไม่มีอะไรทำอย่างน้อยก็ควรพาออกไปเดินเล่น และควรทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน


ร็อตไวเลอร์ เป็นสุนัขชั้นเลิศที่ เชื่อฟังคำสั่งง่าย สงบ ใจเย็น และชอบเด็กและหากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธี ก็จะทำให้เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เฝ้ายามหรือสุนัขจู่โจมได้เป็นอย่างดี ร็อตไวเลอร์เรียนรู้ได้เร็วสามารถใช้งานได้ราวกับหุ่นยนต์ เป็นสุนัขที่ไม่ชอบเห่าไร้สาระ ชอบวิ่งเล่น ร็อตไวเลอร์จะกัดก็ต่อเมื่อเจ้านายของมัน ได้รับอันตรายจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น




มาตรฐานพันธุ์ร็อตไวเลอร์
ลักษณะทั่วไปร็อตไวเลอร์
ร็อทไวเลอร์ จัดได้ว่าเป็นสุนัขที่มีโครงสร้างใหญ่และแข็งแรง โดยเฉพาะโครงสร้างของกระดูกค่อนข้างใหญ่ กระโหลกศรีษะใหญ่และกว้างรูปร่างบึกบึน หนา กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ลำคอและลำตัวมีลักษณะค่อนข้างกลมทำให้แลดูป้อม ขาทั้งสี่มีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ ที่มีขนาดไล่เลี่ยกัน ใบหูห้อยปรกลง ลักษณะของใบหูคล้ายรูปสามเหลี่ยม สีของลำตัวมีเพียงสีเดียวคือสีดำสลับน้ำตาลเข้ม

โครงสร้าง ร็อตไวเลอร์
ส่วนสูงที่ ถือเป็นเกณฑ์มาตราฐานสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ คือ เพศผู้ความสูงควรอยู่ในช่วงระหว่าง 24-27 นิ้ว ส่วนเพศเมียความสูง ควรอยู่ในช่วงระหว่าง 22-25 นิ้ว แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงสัดส่วนความยาวของลำตัวด้วย สุนัขที่มีโครงสร้างสวยงาม ควรมีรูปทรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส และดูกระชับลำตัวไม่ยาวจนเกินไปขณะเดียวกันความสูงก็ไม่เกินกว่าความยาวของ ลำตัวมากนัก เพราะจะทำให้สุนัขแลดูเก้งก้างขาดความแข้งแกร่ง ขาและส่วนหัวต้องมีขนาดเหมาะสมกับลำตัวเวลาเดินหรือวิ่ง ดูแล้วรู้สึกว่าอวัยวะทุกส่วนมีการเคลื่อนไหวมีความยืดหยุ่นและนิ่มนวลแลดู ทมัดทะแมง สุนัขที่สูงเกิดไปหรือเตี้ยเกินไปจะทำให้แลดูขาดความสง่างาม สำหรับน้ำหนักโดยเฉลี่ยควรอยู่ในช่วง 90-110 ปอนด์

หัว ร็อตไวเลอร์
มีขนาด ปานกลาง กะโหลกศีรษะกว้างและโค้งได้รูป ฐานหูทั้งสองอยู่ห่างกัน ส่วนหลังของกะโหลกศรีษะโหนกยื่นออกมาเล็กน้อย สันจมูกต้องไม่ยาวนัก ความยาวของจมูกต้องไม่ยาวเกินกว่าความยาวของกะโหลกส่วนหน้าและส่วนท้าย

จมูก ร็อตไวเลอร์จมูก
ชื้นเล็กน้อยไม่แห้งหรือแฉะจนเกินไป เส้นจมูกควรเรียบแต่ไม่จำเป็นต้องเส้นตรงทีเดียวเหมือนกับสุนัขพันธุ์โด เบอร์แมน อาจย่นได้เล็กน้อย แต่ต้องไม่ย่นถึงขนาดสุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์ จมูกต้องมีสีดำสนิทเหนียงจมูกไม่ควรยื่นออกมามากจนเกินไป รูปทรงของจมูกโค้งมนเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกลับกลม

ปาก ร็อตไวเลอร์
ริมฝีปากต้องมีสีดำสนิท หากมีสีชมพูแซมถือว่าใช้ไม่ได้ เวลปิดปากต้องปิดได้สนิทชนิดมองไม่เห็นฝันสีขาวสะอาดโผล่แลบออกมา

ฟัน ร็อตไวเลอร์
อยู่ ครบ 42 ซี่ ฟันบน 20 ซี่ ฟันล่าง 22 ซี่ ฟันต้องขาวสะอาดแข็งแรง ฟันเวลาขบกันมีลักษณะคล้ายกรรไกร คือ ขบกันได้สนิท โดยฟันหน้าชุดบนอยู่ด้านนอกและชุดล่างอยู่ด้านใน สุนัขที่มีฟันขบกันไม่สนิทถือว่าใช้ไม่ได้ หรือสุนัขที่มีฟันล่างเกยอยู่ด้านนอกแทนที่จะเป็น ฟันชุดบนถือว่าใช่ไม่ได้อีกเช่น

ตา ร็อตไวเลอร์
ตามีขนาดปานกลาง ตาไม่ยื่นเป็นโปนออกมา รูปทรงของดวงตาควรมีลักษณะคล้ายผลอัลมอนด์ เวลาหลับตาหนังตาต้องปิดดวงตาไว้มิดชิดตาควรมีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ตาหยิ่งดำหยิ่งดี สุนัขที่มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรือสีฟ้า (สุนัขตาบอด) ถือว่าใช้ไม่ได หรือสุนัขที่มีตาทั้งสองข้างไม่เท่ากันก็ใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน

หู ร็อตไวเลอร์
หูต้องปรกและแนบติดกลับตัว ใบหูของร็อตไวเลอร์จะต้องมีขนาดเล็ก รูปทรงเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ฐานหูทั้งสองข้างจะต้องตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และอยู่ในระดับสูงเสมอกัน ปลายหูทั้งสอข้างจะต้องห้อยปรกลงมาที่ระดับต้นคอ

คอ ร็อตไวเลอร์
ลำคอมีลักษณะกว้างใหญ่และดูค่อยข้างกลม แข็งแรง กลมกลืนกับลำตัวลำตัว ร็อตไวเลอร์ค่อน ข้างกลม บริเวณท้องน้อยคอดเพียงเล็กน้อยแนวแผ่นหลังเป้นเส้นตรง เวลาเดินหรือวิ่งเส้นหลังต้องได้แนวระดับเสมอกัน ลำตัวมีความยืนหยุ่นแต่แข็งแรง และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ สุนัขที่มองเห็นซี่โครงถือว่าใช้ไม่ได้

อก ร็อตไวเลอร์
อกกว้างลึก ความลึกของอกไม่ควรต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมด โดยวัดจากพื้นถึงหัวไหล่ อกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เวลามองจากด้านล่างอกควรยื่นออกมาเล็กน้อยและอกควรโค้งได้

สะโพก ร็อตไวเลอร์
โค้งมนได้รูปไม่ยาวหรือลาดจนเกินไป ตะโพกต้องไม่มีรอยกระดูกยื่นโปนขึ้นมา

หาง ร็อตไวเลอร์
ฐานหางตั้งอยู่ระดับเดียวกับตะโพก หางควรสั้นเสมอระดับตะโพก

ขา ร็อตไวเลอร์
กระดูก ขาค่อนข้างใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เวลายืนขาต้องไม่ถ่างออกจากกัน ท่อนขาทำมุมตั้งฉากกับพื้นและ ขาหน้าทั้งสองต้องขนานกัน ส่วนขาหลังจะต้องยาวกว่าขาหน้า เวลายืนขาจะย่อยื่นไปข้างหลังเล็กน้อยลักษณะคล้ายสุนัขยืนย่อเข่า เวลามองจากด้านหลังขาทั้งคู่จะต้องขนานกัน สุนัขที่มีข้อศอกขาหลังอยู่ชิดกันถือว่าใช้ไม่ได้ และอาจสันนิฐานได้ว่าสุนัขเป็นโรคฮิป เวลาเดินหรือวิ่งขาต้องไม่ปัด

อุ้งเท้า ร็อตไวเลอร์
อุ้งเท้า ร็อตไวเลอร์ ควรมีลักษณะกลมเวลายืนนิ้วเท้าต้องไม่กางแผ่ออก เล็บเท้าและอุ้งเท้ามีสีดำ

ขน ร็อตไวเลอร์
ลักษณะ ขนค่อนข้างสั้นและเส้นขนหยาบ ขนแนบชิดกับลำตัว ขนต้องขึ้นดก ขนของร็อตไวเลอร์มี 2 ชั้น ขนด้านในสั้นและต้องไม่ยาวโผล่ออกมาด้านนอก ขนบริเรณแผ่นหลังและขาด้านหลังรวมทั้งบั้นท้ายโดยมากจะยาวกว่าส่วนอื่นๆของ ร่างกายสำหรับลักษณะขนของร็อตไวเลอร์มีอยู่ 2 ชนิด คืน พันธุ์ขนยาว และขนสั้นตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นปัญหาเรื่องขนจึงไม่ค่อยมีมากนัก ยกเว้นกรณีที่สุนัขมีขนยาวหรือสั้นจนดูผิดปกติก็ถือว่าใช้ไม่ได้ และขนที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นหรือเป็นลอนมากๆ ก็ถือว่าเป็นลักษณะที่ไม่ดีเช่นกัน ขนที่ดีต้องมีลักษณะเป็นมันแวว

สี ร็อตไวเลอร์
ร็อตไวเลอร์ จะต้องมีลำตัวเป็นสีดำสนิท และมีมาร์คกิ้งในตำแหน่งที่ถูกต้องตรงตามสายพันธุ์ สุนัขที่มีขนสีขาวขึ้นแซมไม่ว่าในส่วนไหนวของร่างกาย ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ สำหรับพื้นที่สีน้ำตาลของมาร์คกิ้ง เมื่อรวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน 10 เปอร์เซ็น ของสีทั้งหมดบนลำตัว สุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ที่มีสีนอกเหนือจากนี้ถือว่าใช้ไม่ได้

การเดินการวิ่ง ร็อตไวเลอร์
จะ ต้องสง่าผ่าเผย มีความยืดหยุ่นในตัว การย่างก้าวต้องดูมั่นคง ขาต้องไม่เกหรือปัด สุนัขที่ดีเวลาวิ่งขาทั้งสี่ต้องประสานกันอย่างเหมาะสม โดยขาคู่หน้าจะต้องยกขึ้นพร้อมๆ กันกับขณะที่ขาคู่หลังยังแตะพื้นทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันขาคู่หลังก็จะยกพ้นพื้น พร้อมๆ กัน ซึ่งขาทั้งสี่จะมาแตะพื้นพร้อมกันที่แนวกึ่งกลางของลำตัว

การจัดอันดับ ร็อตไวเลอร์ร็อตไวเลอร์
ได้รับรองพันธุ์ จาก American Kennel Club ในปี ค.ศ.1935 เป็นพันธุ์ที่ 47 โดยระบุให้จัดอยู่ในประเภท Working Dog และ Kennel Club ของอังกฤษก็จัดอยู่ใน Working Dog เหมือนกันจะแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็เฉพาะของ F.C.I. ที่กำหนดให้เป็นประเภท Gccard Dog สำหรับมาตรฐานพันธุ์ที่ยอมรับและใช้กันทั่วโลกก็มีทั้ง A.K.C. ,F.C.I. และสมาคมร็อตไวเลอร์เยอรมัน หรือ A.D.R.K.

German Shepherd



เยอรมันเชฟเฟิร์ด (German Shepherd)เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเยอรมัน ทำหน้าที่เฝ้าฝูงแกะในสามท้องที่ของเยอรมันคือ วูร์เต็มเบิร์ก ธูรินเยียและ แฟรนโคเนียจึงเรียกชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศต้นกำเนิดคือ"เยอรมัน"ส่วนชื่อเช็พเพอด นั้นหมายถึง"คนเลี้ยงแกะ" รวมแล้ว "เยอรมันเช็พเพอด"คือสุนัขเลี้ยงแกะหรือสุนัขของเยอรมันประเทศต่างๆทั่วโลกนิยมเลี้ยง กันมากนิยมเรียกชื่อดั้งเดิมคือเยอรมันเช็พเพอดแต่ก็ยังคงมีหลายคนโดยเฉพาะคนไทยที่ นิยมเรียกสุนัขพันธุ์นี้ว่า"อัลเซเชี่ยน" (Alsatian) "อัลเซ็ส"




ลักษณะทั่วไป ของเยอรมันเชฟเฟิร์ด หรืออัลซาเชียน ด้านหน้าและด้านหลังจะดูกลมกลืนสมส่วนกันเป็นอย่างดีดูมีพลัง ปราดเปรียว แข็งแกร่ง โครงกระดูกกล้ามเนื้ออัลเซเชี่ยนมีโครงกระดูกที่แข็งแกร่งยืดหยุ่น และรับน้ำหนักได้ดีเฉกเช่นนักกีฬา หากมีร่างผอมเล็ก น้ำหนักน้อยเกินไปไม่ควรพิจารณามาเลี้ยง กล้ามเนื้อของสุนัขพันธุ์นี้สมบรูณ์แข็งแกร่งหากมีไขมันมาก็ไม่ควรนำมาเลี้ยง อุปนิสัย อัลเซเชี่ยนเป็นสุนัขที่กระฉับกระเฉง รวดเร็ว ทรงพลัง กล้าหาญระวังตัวดีมาก สุขุมมั่นคงเชื่อฟังคำสั่งดีปฏิบัติงาน ด้วยความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพแต่ละเพศจะมีอุปนิสัยเฉพาะตัวเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่า เยอรมัน เชพเพิร์ด เป็นสุนัขที่มีความภักดีและซื่อสัตย์เช่นเดียวกับสุนัขใช้งานอื่นๆ ที่ใช้อารักขา เฝ้าฝูงสัตว์ สะกดรอย หรือสุนัขนำทาง เยอรมัน เชพเพิร์ด ไม่ควรมีอาการฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือขี้อาย จนเกินไป

ช่วงชีวิตเฉลี่ย
เยอรมัน เชพเพิร์ด มีชีวิตได้ถึง 10 ปี

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย
55-65ซม. 22-40กก.

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Yorkshire terrier



สุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่อยู่ในกลุ่ม TOY DOG มีถิ่นกำเนิดอยู่ในมณฑลยอร์คเชียร์ ทางตอนใต้ของอังกฤษ ผู้ที่นิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ในตอนนั้นไม่ใช่กลุ่มคนร่ำรวย อย่างในปัจจุบัน แต่กลับเป็นพวกกรรมกรที่ทำงานในเหมืองถ่านหิน ซึ่งเหมือนถ่านหินนี้ถือได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานี่สำคัญอย่างหนึ่ง จึงเป็นศูนย์รวมของกรรมกรทำเหมืองจำนวนมาก ทำให้ชุมชนนั้นมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และที่ไหนก็ตามที่มีสภาพแบบนี้เป็นแหล่งรวม หนู ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นพาหะนำโรค กาฬโรคสร้างความเสียหายให้กับสุขภาพร่างกายของคนงานเหล่านั้น จึงมีความคิดที่จะบรีดสุนัขให้มีขนาดเล็กพอที่จะไล่จับหนูตามซอก ตามมุมเล็กๆได้ จึงนำเอาสุนัขพันธุ์เทอร์เรีย มาผสมกับสุนัขพันธุ์ต่างๆจนได้กำเนิดสุนัขพันธุ์ยอรคเชียร์เทอร์เรียขึ้น
ปัจจุบัน สุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่ใช้พื้นที่เลี้ยงน้อย และความที่เป็นสุนัขตัวเล็ก จึงทำให้การอพร่ขยายพันธุ์มีปริมาณน้อยด้วย จะมีลูกคราวละประมาณ 2-3 ตัวเท่านั้น จึงเป็นสุนัขที่มีราคาค่อนข้างแพง ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ไปจนถึง 35,000 บาท เลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของสุนัข

ลักษณะโดยทั่วไป
โครงสร้าง : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กแต่สมส่วน ขนยาวจรดพื้น ขนเป็นประกายคล้ายแพรไหม
น้ำหนัก : ประมาณ 3.1 กิโลกรัม ( ไม่เกิน 7 ปอนด์ )
ศีรษะ : ส่วนหัวของสุนัขพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก ส่วนบนของหัวค่อนข้างแบน
หู : มีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูปตัว V หูตั้งตรง ปกคลุมด้วยขนที่สั้น มีสีน้ำตาลเข้ม
จมูก : เป็นสีดำ
ตา : มีขนาดปานกลาง มีสีเข้ม ขอบตาสีดำสนิท ตาต้องไม่โปนออกมา แววตาเป็นประกายร่าเริง และเฉลียวฉลาด
ฟัน : ขบแบบเสมอ หรือขบแบบกรรไกร
รูปร่าง : ขนาดเล็กสมส่วน ส่วนหลังได้ระดับกับลำตัว ลำตัวมีขนขนาดสั้น ปกคลุมด้วยขนขนาดยาว โคนขนจะมีสีเข้ม ลายขนจะจางลง
ขา : ขาหน้าตรง ข้อศอกไม่บิดเข้าหรือออก เท้ากลม เล็บสีดำ นิ้วติ่งต้องตัดออก ส่วนขาหลัง เมื่อมองจากด้านหลังจะตั้งตรง ข้อเท้าทำมุมพอประมาณ
หาง : ต้องตัดสั้นพอประมาณเพื่อให้ขนปกคลุม มีสีดำกว่าส่วนอื่นๆทั้งหมดในร่างกาย หางตั้งอยู่เหนือระดับเส้นหลัง
ขนขนมีลักษณะเหยียดตรงเป็นประกายคล้ายแพรวไหม ความยาวของขนตามลำตัวยาวพอดีเสมอพื้น ขนในส่วนของหัวมีสีทอง เช่นเดียวกับ โคนหู จมูก ปาก และขากรรไกร ขนบริเวณหัวต้องยาว รวบผูกจุกให้ดูสวย ขนที่ฝ่าเท้าต้องตัดให้สั้น
สี : ลักษณะสีตามลำตัวจะเป็นสีเทาเงินเข้ม แต่ไม่ถึงกับเป็นสีเงิน จากท้ายทอยถึงโคนหางเป็นสีเดียวกัน
การเคลื่อนไหว : เป็นสุนัขที่มีความคล่องตัว ปราดเปรียว
อุปนิสัย : เป็นสุนัขที่ฉลาด ว่องไว ร่าเริง ขี้ประจบ

Tibetan mastiff (แมสทิฟทิเบต)

ต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์แมสทิฟทิเบต
แมสทิฟทิเบตเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งของสุนัขพันธุ์โบราณที่มีอยู่เดิมส่วนใหญ่กว่าศตวรรษเนื่องจากห่างไกลจากบ้านเกิดที่บนที่ราบสูงทิเบตที่เรียกว่าเป็นหลังคาของโลก พวกเขาเป็นที่รู้จักในประเทศเป็น Do - จีซึ่งหมายความว่า"สุนัขผูก"สะท้อนถึงความจริงที่ว่าพวกเขามักจะ tetheredที่ทางเข้าเต็นท์เจ้าของหรือบ้านที่ ประชดของชื่อไม่ได้หายไปกับผู้เยี่ยมชม, มาร์โคโปโลเมื่อเขามีคำอธิบายว่าเป็น"เป็นสูงเป็นลาด้วยเสียงทรงพลังเหมือนสิงโต" พวกเขาเป็นผู้ปกครองธรรมชาติและการกระทำเปลือกร้ายลึก แต่ในความเป็นจริงพวกเขาเป็นที่รักและร่าเริงกับคนที่พวกเขารู้จัก
แม้ว่าความรู้ของเราสมบูรณ์เป็น hypothesisedพันธุ์อื่น ๆ ที่สืบทอดจากทิเบตสุนัขพันธุ์หนึ่งรวมถึง Leonberger, Newfoundland, Kuvasz, Pyrenean Mountain Dog และผิดปกติพอปั๊ก! หลักฐานจริงจะเบาบาง แต่เป็นทฤษฎีที่เป็น nomads ของเอเชียกลางอพยพไปทางตะวันตกพวกเขาเอาสุนัขมากับพวกเขาที่แล้วกว่าหลายศตวรรษที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่และบทบาทที่จะเป็นพันธุ์ที่เราเห็นวันนี้ แน่นอนมีทฤษฎีอื่น ๆ แต่ที่เหมาะสมเพื่อแนะนำให้หนึ่งเป็นอย่างน้อยบางส่วนที่น่าเชื่อถือ ระหว่างส่วนต้นของศตวรรษที่ 19 มีความสนใจเพิ่มขึ้นในสัตว์ตามธรรมชาติของพื้นที่ห่าง
ไกลโดยเฉพาะ bordering หิมาลัย ในขณะที่สุนัขแรกจากทิเบตได้เห็นในประเทศอังกฤษส่งเป็นของขวัญให้เจ้านายที่รู้สภาพและ consigned หลีกเลี่ยงการสวนสัตว์ที่พวกเขาใส่แสดงสาธารณะนี้ purportedly, King George IV ครอบครองอย่างน้อยหนึ่งสุนัขจากทิเบตใน 1820, และ William IV รับคู่เป็นของขวัญใน 1834 บิดของเวลาที่เป็นเช่นนี้ในความเป็นจริงอาจจะอ้างถึงสัตว์เดียวกัน แต่ไม่มีเอกสารยืนยันว่าเราจะได้ แต่เดา บางเพิ่มเติมที่อยู่ใน Viceroy 1847 ของอินเดียพระเจ้า Hardinge, ส่ง"สุนัขขนาดใหญ่จากทิเบต"ชื่อ Bhout เพื่อ Queen Victoria แต่มีบันทึกใดไม่มีการเลี้ยงโคและโชคชะตาที่ไม่รู้จัก สนใจในสุนัขมีการเติบโตในประเทศอังกฤษในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และ 1859 ในการแสดงสุนัขครั้งแรกจัดขึ้นใน Newcastle - on - ไทน์ ภายในไม่กี่ปีก็รับรู้ว่าร่างกายดูแลถูกต้องบันทึกและออกกฎหมายควบคุมและใน 1873 พันธุ์ Club เกิดในกรุงลอนดอน ในขณะนี้ Prince of Wales (ภายหลังเป็น King Edward VII) มีความสนใจในสุนัขและนำสอง Mastiffs ทิเบตในอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ชื่อว่า Siring ที่ถูกแสดงใน Alexandra Palace แสดงในเดือนธันวาคม 1875 มีรายงานต่างๆของสุนัขต่อไปนำเข้าในปีต่อไปรวมทั้ง Dsamu ที่ถูกแสดงใน 1895 มี เริ่มต้นของศตวรรษที่ 20 ที่เห็นความรีบเร่งในทิเบตนำโดย Francis Younghusband และต่อมามีสุนัขหลายส่งออกไปยังประเทศอังกฤษในช่วง 1904-1906 รวมทั้งสองชื่อ Bhotean และ Lhasa นอกจากนี้ King George V นำชายซึ่งต่อไปนี้มรณกรรมของถูกยัดและเสนอต่อสัตว์สังคม ใน 1912 ถูกวางแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงลอนดอนวันนี้และสามารถเห็นได้ในสัตว์ Walter Rothschild Museum (ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) ใน Tring, Hertfordshire



ใน1928 5 วัน สุนัขได้นำกลับไปจากทิเบตโดยพัน Eric Bailey และภรรยารวมทั้ง Tomtru (เขาหมายถึงหมีเล็ก"), dru Gyan, Gya พล, และ Rakpa สีแดงที่ต่อมาได้รับรางวัลแรกสำหรับสุนัขต่างประเทศที่ Kensington แสดง และยังเป็นผู้ชนะที่ Cruft และพันธุ์ Club แสดง Hon นาง Eric Bailey ภายหลังก่อตั้งพันธุ์ทิเบตสมาคมใน 1931 ซึ่งกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์สำหรับพันธุ์ Club ลูกสุนัขที่รู้จักกันครั้งแรกจะเกิดในสหราชอาณาจักรมาจาก Rakpa จาก Gya พล, หนึ่งในลูกสุนัขเหล่านี้ถูก bitch ชื่อต้นยาผู้ที่แต่งงานแล้วก็จะนำเข้าที่เรียกว่า Gyam Druk - อื่น บุตรชื่อ Bru ของพวกเขามีงานแสดงที่ประสบความสำเร็จก่อน WW2 และเป็นพันธุ์กลับไปยังต้นยาแม่ของเขา แต่สงครามและการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองทำให้การสูญเสียที่สุดของเส้นเหล่านี้และมีการนำเข้าอีกไม่นานหลายปี 1980 ในทิเบตสุนัขพันธุ์หนึ่งเดินชายฝั่งของเราอีกครั้งเมื่อ Ausables Apache แอนและ Ausables Black Magic นำเข้าจากอเมริกาที่มีการแต่งงานแล้วโดย Angmo Rajkumari von Chattang เรียกว่า"Dutchman" ลูกหลานของพวกเขาพร้อมด้วย 3 สุนัขจากฝรั่งเศสและหนึ่งจากเนปาลเกิดรากฐานของ Mastiffs ทิเบตในสหราชอาณาจักร ล่าสุดแนะนำของสัตว์เลี้ยง Passport Scheme ซึ่ง alleviates ความต้องการสำหรับสุนัขที่จะใช้ 6 เดือนในการกักกันได้เปิดประตูไปเส้นใหม่เลือดและสนับสนุนสมาคมกว้างกับสโมสรและสุนัขแสดงในต่างประเทศ

สุนัขพันธุ์หนึ่งของทิเบตวันนี้

วันนี้ทิเบตสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ทำให้สัตว์เลี้ยงที่ดี แต่บางคนมีอัธยาศัยที่เห่าที่มักจะแย่ลงในเวลากลางคืนเวลาจะเป็นเด็ก (แต่เป็นกับสุนัขที่ยังไม่ได้แนะนำให้ปล่อยพวกเขาไม่ต้องใส่ toddlers ใกล้) และโดยทั่วไปยังดีกับสัตว์อื่นๆ พวกเขาจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ แต่จะเบื่อได้อย่างรวดเร็วทำให้การเรียนการสอนได้น่าเบื่อ . ความชื่นชอบของพวกเขาไม้สามารถนำไปสู่บาง tendencies ทำลายในบ้านจึงมากมายเคี้ยวของเล่น - มีการระมัดระวัง ฉลาด!
คุณจะต้องเป็นสวนที่ปลอดภัยเพื่อมีสุนัขพันธุ์หนึ่งของทิเบต แต่ไม่คาดว่าจะเล่น"go - เรียก"เกมกับสุนัขของคุณตั้งแต่พวกเขาจะไม่ทิ้งให้กิจกรรมการล่าสัตว์, พอใจที่จะเลือกจุดที่ได้จากการสำรวจและนาฬิกา เหนืออาณาเขตของตน . เป็นสายพันธุ์ขนาดใหญ่ที่พวกเขาไม่ควรอนุญาตให้ไปออกกำลังกายในช่วงปีที่ 1 ของความกลัวของเสียหายของข้อต่อและด้วยเหตุผลเดียวกันก็ควรให้พอดีกับบันไดประตูเพื่อป้องกันไม่ให้ปีนบันได ในอังกฤษพวกเขามักจะมีน้ำหนักระหว่าง 140-180 ปอนด์ (64-82 กก. ) และในความสูงที่แตกต่างระหว่าง 25 และ 28 นิ้ว (63-71 ซม. ) . ขณะนี้พวกเขาสามารถแสดงภายใต้กฎ Club พันธุ์เป็นสายพันธุ์หายาก ในสุนัขส่วนการทำงานแม้ว่าจะหวังว่าในที่สุดจะได้สถานะ Championship มีสหราชอาณาจักรเป็นจำนวนมากไม่ผสมพันธุ์ในจึงอาจมีรายการรอนานสำหรับสุนัข, อาจได้ถึง 2 ปี
แมสทิฟทิเบตเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่พันธุ์เคลือบด้วยเสื้อใส่ในขนสัตว์ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลอกคราบทั้งหมดในครั้งเดียวปีละครั้ง พวกเขาบอกว่าคุณสามารถกรอกสาม dustbins ด้วยขนสัตว์ของพวกเขา เมื่อลอกคราบมันมีแนวโน้มที่จะให้สภาพผิวซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะมากเกินไปไม่ค่อยหากเคยได้รับเหม็น แต่ยังต้องการปกติกรูมมิ่งที่ได้ให้ขนด้านบน . ในสหราชอาณาจักรได้รับการยอมรับเป็นสีดำและสีดำแทนสีเทา ,สีเทาและสีน้ำตาลและทอง พวกเขาเป็น a - อยู่นานขนาดสายพันธุ์ของพวกเขาจะไม่เป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกเขาจะอยู่ถึง 15 หรือดังนั้น หญิงมีสุกเต็มที่โดย 3 อายุ แต่ผู้ชายใช้เวลาอีกหน่อยเป็นที่ยาว 5 ปีอาจจะ ผู้ชายมีเยอะแยะขนขึ้นมากกว่าเพศหญิงและจากประสบการณ์ของผมพวกเขายังดื้อรั้นอีก โดยทั่วไปจะมีสายพันธุ์ห่างและผู้ปกครองธรรมชาติที่มีแนวโน้มที่จะระมัดระวังคนแปลกหน้าจะแตกต่างกันองศาหญิงเข้ามาในฤดูเพียงปีละครั้งระหว่างเดือนตุลาคมและธันวาคม



อ้างอิง : http://www.tibetanmastiff.me.uk/history.html

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

french bulldog



เฟรนซ์ บูลด็อก (French Bulldog) ประมาณปี 1860 มีสุนัขพันธุ์ Bulldog มากมายในประเทศอังกฤษและสุนัขชนิดนี้ไม่ค่อยนิยมเลี้ยงเท่าไร พันธุ์สุนัขเหล่านี้บางส่วนถูกส่งเข้าไปในประเทศฝรั่งเศส และได้ผสมกับสุนัขพันธุ์ต่างๆในฝรั่งเศส จนในที่สุดเกิดเป็นสุนัขพันธุ์ French Bulldog ขึ้นและสุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศฝรั่งเศสโดยเฉพาะสุภาพสตรี ปี 1880 ปารีส เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมของชาวอเมริกาผู้มั่งคั่ง และเมื่อมีข่าวสุนัขพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น ต่างก็ต้องการอยากจะไปดูด้วยตาตนเอง สิ่งที่พวกเขาได้พบคือสุนัขพันธุ์ French Bulldog สุนัขพันธุ์นี้มาจากอังกฤษ ความจริงอเมริกามีอิทธิพลในการเลือกเพาะพันธุ์นี้ขึ้นมาให้มีลักษณะอย่าง French Bulldog ในปัจจุบันได้รับการยอมรับที่สามารถให้พัฒนาให้มีหัวอย่างมัสตีฟ ขากรรไกรเป็นรูปสี่เหลี่ยม ลำตัวกะทัดรัดและที่สำคัญคือที่ใบหูเหมือนค้างคาวอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ French Bulldog เป็นสุนัขพันธุ์เล็กน้ำหนักไม่เกิน 28 ปอนด์ หน้าเหมือน Bulldog ทั่วไป ริมฝีปากหนา จมูกหักสั้นเข้าไปด้านใน นัยน์ตาสดใส ลักษณะพิเศษคือใบหูเหมือนค้างคาว ซึ่งไม่มีสุนัขพันธุ์ใดในโลกนี้เหมือนเขาจะเห่าและขู่บ้าง แต่มีความเป็นมิตรชอบทำตัวเป็นเจ้าของบ้านมากกว่าเป็นผู้อารักขา พร้อมที่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็ก แมว และสัตว์อื่นๆ มีนิสัยขี้เล่น ร่าเริงรักเด็กขนาดใกล้เคียงกับ Pug และ Boston Terrier


มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ชอบเล่น ตื่นตัวอยู่เสมอ
ศีรษะ : มีขนาดใหญ่คล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หัวกะโหลกระหว่างหูค่อนข้างแบน
หน้าผาก : มีลักษณะโค้งเล็กน้อย แก้มมีกล้ามเน้อชัดเจน
หู : มีลักษณะเหมือนหูค้างคาว โคนหูใหญ่ ค่อนข้างยาว ปลายหูกลม โคนหูอยู่ค่อนข้างสูง
ตา : มีสีเข้ม ขนาดปานกลาง ตาค่อนข้างกลม ตาค่อนข้างห่างจากหู ตาไม่ลึกหรือโปน
ดั้งจมูก : มีมุมหักชัดเจนทำให้มีหลุมลึก
ปาก : มีลักษณะกว้างและลึก มุมปากเหนียงและค่อนข้างหนา กรามแข็งแรงขณะหุบปากไม่เห็นฟันยื่นออกมา
จมูก : มีลักษณะสั้น รูจมูกกว้าง จมูกมีสีดำ หรือสีจาง ขึ้นอยู่กับสีของขน
ฟัน : แข็งแรง ขบแบบ UNDERSHOT
ลำตัว : มีลักษณะสั้นกลม เส้นหลังโค้ง บริเวณหัวไหล่ค่อนข้างกว้างบริเวณเอวเล็ก
คอ : มีลักษณะกลมหนา หนังคอบริเวณลูกกระเดือก ค่อนข้างย่น
อก : กว้างและลึก
ขาหน้า : มีกระดูกใหญ่ ขาหน้าค่อนข้าสั้น ขาหน้าประกอบด้วยกล้ามเนื้อขา ขาหน้าตั้งตรงขาหน้าทั้งสองห่างกันพอสมควร เท้าหน้าขนาดพอเหมาะนิ้วเท้าชิดขาหลัง : ประกอบด้วยกล้ามเนื้อขาหลังตรง ห่างกันพอประมาณข้อเท้าหลังอยู่ในระดับต่ำ เท้าหลังมีขนาดพอเหมาะนิ้วเท้าชิด เท้าหลังใหญ่กว่าเท้าหน้าเล็กน้อย
หาง : โคนอยู่ในระดับต่ำ หางตรงหรือเป็นเกลียวได้ หางค่อนข้างสั้น
ขน-สี : ขนสั้นนุ่ม ขนมีหลายสี เช่น น้ำตาล ขาว น้ำตาลขาว หนังค่อนข้างย่น
น้ำหนัก : ชนิดเล็กมีน้ำหนักน้อยกว่า 22 ปอนด์ ชนิดใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 22-28 ปอนด์
ข้อบกพร่อง : หูไม่เหมือนค้างคาว สีดำ-ขาว สีดำ-น้ำตาล ตามีสีไม่เหมือนกัน น้ำหนักเกิน 28 ปอนด์

Pomerania


ปอมเมอเรเนียนมีต้นตระกูลมาจากสุนัขลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และบริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรป ซึ่งในที่สุดก็ใด้ถูกนำเข้ามาในยุโรป ณ ปอมเมอเรเนียซึ่งบริเวณด้านเหนือถูกล้อมรอบด้วยทะเลบอลติกและบ่อยครั้งอยู่ภายใต้การควบคุมของ เค้ลท์, สลาฟ, ประเทศโปแลนด์, ประเทศสวีเดน, ประเทศเดนมาร์ก และปรัสเซีย พื้นที่ส่วนนี้ขยายจากตะวันตกของเกาะรืเกน (Rügen) ไปจนถึงแม่น้ำวิสทูรา Vistula ซึ่งที่นั่นปอมเมอเรเนียนได้เป็นทั้งสัตว์เลี้ยงและสุนัขใช้งาน ชื่อ Pomore หรือ Pommern แปลว่า "บนทะเล" ได้ถูกตั้งขึ้นประมาณช่วงสมัยของชาร์เลอมาญ ผู้ผสมพันธ์สุนัขในปอมเมอเรเนียได้พัฒนาขนและผสมพันธุ์สุนัขเหล่านี้ให้เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตในเมืองแต่ก็ยังหนักกว่า 20 ปอนด์ตอนที่มาถึงประเทศอังกฤษ ผู้ผสมพันธุ์ชาวอังกฤษหลังจากผ่านการลองผิดลองถูกและใช้ทฤษฎีของเกรเกอร์ เมนเดลได้รับชื่อเสียงในการลดขนาดของสุนัขลง และพัฒนาให้มีหลายสีขึ้น ขนาดที่เล็กของปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันนี้มาจากการเลือกเฟ้นสายพันธุ์แต่สายพันธุ์นั้นก็ยังคงนิสัยอดทนและขนหนาอย่างสุนัขในเขตหนาว Queen Charlotte เป็นคนแรกที่นำปอมเมอเรเนียนเข้ามาสู่คนชั้นสูงของอังกฤษ อย่างไรก็ตามปอมได้รับความโด่งดังอย่างสากลเมื่อหลานสาวของนาง สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ได้เสด็จกลับมาจากพักร้อนใน Florence, ประเทศอิตาลีกับปอมเมอเรเนียนชื่อ Marco (ข้อควรสังเกตว่าสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่มีอยู่ในสมัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งศตวรรษที่ 19 สุนัขของ พระราชินีชาร์ลอตต์ และ สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร นั้นล้วนแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามากและเป็นสายพันธุ์สปิตซ์แบบยุโรปหรืออาจจะเป็น เยอรมันสปิตซ์ (German Spitz) ไม่ก็ โวลปิโนอิตาลี (Volpino Italiano) ที่ไม่ต่างจากผู้ที่เลี้ยงปอมในสมัยก่อนศตวรรษที่ 19) พันธุ์ที่ใกล้เคียงที่สุดของปอมคือ เอลค์ฮาวนด์นอร์เวย์ (Norwegian Elkhound), Samoyed, Schipperke และ ตระกูล สปิตซ์ทั้งหมด

รูปร่างหน้าตา
น้ำหนักเฉลี่ย 3-7 ปอนด์(1.4-3.2 กิโลกรัม) อ้างอิงจากมาตรฐาน AKC ปอมเป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดของแถบเหนือ ศีรษะของปอมเมอเรเนียนมีลักษณะเป็นลิ่มทำให้มันดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก หูเล็กและชี้ขึ้น หางของมันเป็นลักษณะพิเศษของสายพันธุ์และต้องพลิกกลับขึ้นไปบนหลังและแบนสูงปอมมีชื่อเสียงที่ขนของมัน มันมีขนสองชั้น ชั้นข้างใต้แล้วชั้นบน; ชั้นแรกจะหนานุ่มและฟูฟ่อง ส่วนชั้นที่สองจะยาวตรงและหยาบ ชั้นข้างใต้จะผลัดขนปีละครั้งสำหรับตัวผู้โดย และตัวเมียที่สมบูรณ์ในระหว่างการผสมพันธุ์, ออกลูก และช่วงที่มันเครียด
ตามมาตรฐานของ AKC ปอมนั้นมีสิบสามสีหรือสีที่ผสมกันได้แก่ black, black & tan, blue, blue & tan, chocolate, chocolate & tan, cream, cream sable, orange, orange sable, red, red sable, and sable สุนัขที่มีตั่งแต่สองสีขึ้นไป(โดยทั่วไปจะสีขาวและสีอื่น) จะเรียกว่า"Parti-Color" และ AKC ก็ยังนับอีกนับอีกห้าสีอย่างไม่เป็นทางการโดยมีสี Beaver, brindle, chocolate sable, white, and wolf sable
มาตรฐานของสายพันธุ์เป็นที่มาของ Cobby (สุนัขที่มีความลงตัว) สุนัขเหล่านี้จะมีความสั้นหรือยาวเท่ากันความสูงของมัน ลองนึกภาพวงกลมในสี่เหลี่ยมจตุรัส ปอมเหล่านี้จะมีสัดส่วนที่สอดคล้องและลงตัว ยกตัวอย่างเช่นปอมตัวเล็กบอบบางแต่หัวใหญ่จะดูไม่ลงตัวเพราะหัวจะไม่สอดคล้องกับตัว ปอมที่มีความสมดุลจะมีขาที่เข้าสัดส่วนกับตัว ไม่สั้นจนทำให้ดูเงอะงะ หรือยาวจนทำให้ดูเหมือนเดินบนเสาค้ำ

มาตรฐานนี้ยังสื่อไปให้เห็นซึ่งการแสดงออกถึงความแสนรู้ แสดงให้เห็นว่าปอมนั้นมีลักษณะนิสัยที่ตื่นตัวและประพฤติตัวอย่างเหมาะสม ลักษณะนิสัยที่ตื่นตัวของปอมทำให้มันเป็นสุดยอดของสุนัขเฝ้าบ้าน

อุปนิสัย
ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่คล่องแคล่วและเฉลียวฉลาดมาก กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนของมัน ปอมเมอเรเนียนอาจจะมีการตอบสนองที่ไม่ค่อยดีกับเด็กๆ และเนื่องจากที่มันมีขนาดเล็กมันอาจถูกข่มเหงโดยเด็กๆ ปอมเมอเรเนียนสามารถถูกฝึกให้เป็นสุนัขเฝ้าเวรยามโดยการเตื่อนให้รู้ถึงผู้บุกรุกด้วยเสียงเห่าที่ดังและแหลม โชคไม่ดีที่สุนัขเหล่านี้ขาดการฝึกจึงกลายเป็นที่เลื่องลือเรื่องการเห่าอย่างไม่มีเหตุผลและต่อเนื่องด้วยเหตุผลนี้สุนัขเหล่านี้จึงสามารถเป็นเพื่อนที่สร้างความเครียดให้แก่ผู้ที่ไม่ชินกันธรรมชาติของเสียงของมัน ปอมเมอเรเนียนสามารถปรับตัวอย่างง่ายดายให้เข้ากับชีวิตในเมืองและเป็นสุนัขที่ดีเยี่ยมสำหรับชนบทด้วยสัญชาตญาณนักล่าที่ดีที่มันได้รับมาจากบรรพบุรุษของมัน

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Boston Terrier



ความเป็นมาของบอสตัน เทอร์เรียร์พัฒนาสายพันธุ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา บรรพบุรุษของเขาคือสายพันธ์อิงลิช บูลด็อก และอิงลิช ไวท์ เทอร์เรียร์ อย่างไรก็ตามสายพันธ์เดิมเหล่านี้ต่างจากที่เรารู้จักทุกวันนี้อย่างมากอายุชีวิตเฉลี่ยหากเลี้ยงดีๆ อาจมีอายุได้ถึง 16 ปีขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่ประมาณ 30 ซม.ถึง 45 ซม. (ทั้งสองเพศจะมีส่วนสูงเท่าๆกัน)น้ำหนักประมาณ 6.8 กก.ถึง 10 กก. อุปนิสัยประจำพันธุ์สุนัขพันธุ์ บอสตัน เทอร์เรียมีนิสัยร่าเริง และชาญฉลาด มุ่งมั่นในการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวเสมอ แม้จะเป็นสุนัขตัวไม่เล็กที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นสุนัขขนาดกลางที่เล็กที่สุดแล้ว แถมโครงสร้าง ได้สัดส่วน ดูสวย สง่างาม (คล้ายสุนัขบ๊อกเซอร์ ย่อส่วน) มีจุดเด่นที่ดวงตากลมโตใหญ่ที่บ่งบอกความรู้สึกออกมาชัดเจน บอสตัน เทอร์เรียไม่ใช่สุนัขที่ชอบเอะอะโวยวาย เหมาะสำหรับเลี้ยงภายในบ้าน นอกจากนั้นยังเข้ากับเด็กได้ดีมากอีกด้วย
ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล
- หากได้รับอาหารที่เหมาะสม พวกเขาแทบไม่ต้องการการแปรงขน ก็สามารถมีขนที่เงางามได้ แต่ตัวผู้มีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นตัวและขนร่วงมากกว่าตัวเมียนิดหน่อย
- สามารถเลี้ยงได้ในบ้านที่มีสวนไม่ใหญ่มากนัก ต้องการสถานที่ออกกำลังกายบ้าง (ควรพาเดินเล่นครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย)
- ชอบเล่นน้ำ และลูกบอลเป็นชีวิตจิตใจ


Basenji

บาเซ็นจิ (Basenji) สายพันธุ์สุนัขล่าเหยื่อ (Hound) ชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมที่ทวีปแอฟริกา บริเวณประเทศคองโก โดยคำว่า "บาเซ็นจิ" เป็นภาษาสวาฮีลีแปลว่า "สิ่งที่อยู่ในพุ่มไม้"บาเซ็นจิเป็นสุนัขที่ผู้คนในแถบทวีปแอฟริกานิยมเลี้ยงมานานแล้ว เพราะหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า รูปสลักในปิรามิดมีรูปของสุนัขที่ลักษณะคล้ายบาเซ็นจิอยู่ และแม้เทพองค์หนึ่งที่เป็นที่นับถือของชาวอียิปต์โบราณ คือ อนูบีส (Anubis) ก็มีหัวเป็นสุนัขคล้ายบาเซ็นจิ ชาวพื้นเมืองในแอฟริกานิยมใช้บาเซ็นจิในการล่าสัตว์ ซึ่งบาเซ็นจิสามารถใช้ล่าเป็นอย่างดีทั้งสัตว์ขนาดเล็ก อย่าง นก หนู กระต่าย หรือแม้แต่กระทั่งสัตว์ขนาดใหญ่ อย่าง กอริลลา
ลักษณะของบาเซ็นจิ เป็นสุนัขขนสั้น รูปร่างปราดเปรียว สง่างาม หลังตรง รูปร่างถือว่าไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับสุนัขล่าเนื้อชนิดอื่น ๆ หางม้วนเป็นวงกลม หน้าแหลม หูแหลมชี้ตั้ง มีความสูงประมาณ 40 - 43 เซนติเมตร น้ำหนัก 9.5 - 11 กิโลกรัม และมีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีกลิ่นตัว และไม่เห่า จัดว่าเป็นสุนัขชนิดเดียวในโลกที่ไม่เห่า เมื่อเวลาจะส่งเสียงขู่จะเพียงแค่คำรามสั้น ๆ ในลำคอ สีลำตัวโดยมากจะเป็นสีน้ำตาล - ขาว หรือ สีน้ำตาลแดง - ขาว อายุโดยเฉลี่ย 16 ปี
อุปนิสัยของบาเซ็นจิ เป็นสุนัขฉลาด แม้จะไม่เห่า แต่ก็สามารถใช้เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี มีสัญชาติญาณความเป็นนักล่าสูงอันเป็นลักษณะนิสัยประจำสายพันธุ์ และรักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับขู่เข็ญในประเทศไทย บาเซ็นจิ ยังเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมน้อย เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีราคาแพง โดยมากมักจะนำเข้ามาจากต่างประเทศ อีกทั้งยังมีรูปร่าง ลักษณะ คล้ายคลึงกับสุนัขทั่ว ๆ ไป ของไทย จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมนัก สำหรับสุนัขบาเซ็นจิที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ได้แก่ คุณทองแท้ สุนัขทรงเลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คู่ของคุณทองแดง ซึ่งคุณทองแดงนี้ก็สันนิษฐานว่ามีเชื้อสายของบาเซ็นจิผสมอยู่ด้วยเช่นเดียว
กัน

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Chihuahua



เมื่อราวต้นศตวรรษที่19บนแผ่นดินที่ปัจจุบันเป็นประเทศเม็กซิโก เคยมีอาณาจักรชื่อ Toltecs ปกครองดินแดนแถบนั้นอยู่อาณาจักรนี้รุ่งเรืองอยู่นานนับร้อยปี มีอารยธรรมและความเจริญต่าง ๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือการสร้างสุนัขพันธุ์ Techichi ซึ่งมีขนาดเล็กแต่กระดูกใหญ่ ขนยาว ลักษณะเด่นพิเศษคือเป็นสุนัขที่เงียบกริบถือกันว่าTechichiเป็นสุนัขพื้นเมืองในแถบอเมริกากลางและเป็นต้นกำเนิดแห่งสายพันธุ์ชิวาวา หลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า Techichi เป็นสุนัขที่มีอยู่ตั้งแต่สมัย Toltecs คือรูปสลักสุนัขบนหิน เป็นรูปเต็มของสุนัขทั้งตัวซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับชิวาวาในสมัยปัจจุบันอย่างมาก รูปสลักนี้ปัจจุบันอยู่ที่ Monastery of Auejotzingo ตั้งอยู่บนทางหลวงระหว่าง Mexico City กับ Puebla อารามดังกล่าวสร้างขึ้นราวปี ค.ศ.1530 โดยคณะบาทหลวงฟรานซิสกัน แต่วัสดุที่ใช้สร้างมาจากปิรามิดเก่า ชื่อ Pyramids of Cholula ซึ่งสร้างขึ้นโดยชาว Toltecs นอกจากนี้ยังมีปิรามิดแห่งอื่นที่สร้างขึ้นในสมัย Toltecs และมีรูปสลักสุนัข Techichi อยู่ด้วย คือปิรามิด Chichen Itza ในแถบ Yucatan หลังจากอาณาจักร Toltecs ล่มสลายก็ถึงคราวของรุ่งเรืองของอาณาจักร Aztec ซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณเดียวกับที่เคยเป็น Toltecs พื้นที่แถบนี้ปัจจุบันอยู่ใกล้กับเมือง Mexico City จึงมีผู้ค้นพบเศษซากโบราณวัตถุอยู่เสมอ และมักมีผู้อ้างว่าเจอหลักฐานเก่าแก่เกี่ยวกับต้นตระกูลสายพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ ส่วนหลักฐานของชิวาวานั้นถูกค้นพบในปี ค.ศ.1850 ที่โบราณสถานใกล้กับ Casas Grandes เชื่อกันว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นวังของพระจักรพรรดิ Motezuma ที่ 1 แห่ง Aztec อาณาจักร Aztec ร่ำรวย มีอายุหลายร้อยปีพระจักรพรรดิ Montezuma ทรงเลี้ยงชิวาวาไว้ในวัง พวกชนชั้นสูงจึงเอาอย่าง ในสมัยนั้นแม้แต่ชิวาวาของเศรษฐียังเป็นที่ยกย่อง ส่วนตัวที่มีสีน้ำเงินถือเป็นสุนัขศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามคนทั่วไปเห็นว่าสุนัขพันธุ์นี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ มีเรื่องเล่าว่ามีคนกินชิวาวาเสียด้วยซ้ำ ต่อมาใน ค.ศ. 1519 - 1520 อาณาจักร Aztec ก็ล่มสลายลงบ้าง ความร่ำรวยและอารยธรรมต่าง ๆ ของ Aztec ไม่หลงเหลืออยู่ ชิวาวาจึงพลอยหายสาบสูญไปด้วย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึง Techichi ผู้เป็นต้นเค้าของชิวาวาไม่ได้มีแต่เพียงในเม็กซิโกเท่านั้น คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ยังเคยเขียนจดหมายถึงกษัตริย์แห่งสเปน กล่าวถึงการเดินทางไปยังเกาะซึ่งปัจจุบันคือประเทศคิวบา เขาเล่าว่าที่เกาะนั้นมี "สุนัขตัวเล็ก เงียบ ไม่เห่า และเชื่องมาก" นักโบราณคดีกล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ที่ชาว Aztec จะนำสุนัขไปถึงคิวบาเพราะชนเผ่านี้ไม่ใช่นักเดินทะเล แต่สุนัขจะไปถึงที่เกาะนั้นได้อย่างไรยังไม่มีใครหาคำตอบได้ สถานะของชิวาวาในยุค Toltecs และ Aztec ไม่ได้เป็นแค่เพียงสุนัขที่ผู้คนนิยมกันมากเท่านั้น แต่ยังเป็นสุนัขที่มีความสำคัญทางศาสนาด้วย กล่าวคือใช้เป็นสื่อกลางในการบูชาเทพเจ้า ใช้เป็นผู้นำทางวิญญาณไปสู่โลกแห่งความตาย รวมทั้งยังรับบาปแทนมนุษย์ได้ด้วย ด้วยเหตุนี้นักโบราณคดีจึงได้เห็นซากชิวาวาถูกฝังอยู่ในหลุมศพเดียวกับคนอยู่ทั่วไปในเม็กซิโกและบางส่วนของสหรัฐอเมริกา มีข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจเพี่ยวกับชิวาวาประการหนึ่ง เสนอโดย K. de Blinde ข้าราชการชาวเม็กซิกันผู้ขี่ม้าท่องไปทั่วประเทศและเป็นนักสร้างสายพันธุ์ตัวยง เขากล่าวว่าชิวาวาเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง Techichi กับสุนัขตัวเล็กไร้ขนที่มาจากเอเชีย สุนัขตัวเล็กนี้คล้ายกับที่มีอยู่ในประเทศจีนและสุนัขนี้เองที่ทำให้ Techichi มีขนาดเล็กลงไปจนเท่า ๆ กับชิวาวาในปัจจุบัน กระนั้นชิวาวาในปัจจุบันก็มีลักษณะแตกต่างจากบรรพบุรุษอยู่บ้างในเรื่องสีขน กล่าวคือมันมีสีสันหลากหลายตั้งแต่ขาวสว่างไล่ไปจนถึงดำสนิท ชาวเม็กซิกันนิยมสีดำแต้มด้วยสีแทน หรือสีขาวจุดดำ ส่วนชาวอเมริกันนิยมสีพื้นไม่มีแต้ม ปัจจุบันชิวาวาเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมมากในอเมริกา ชาวอเมริกันพัฒนาสายพันธุ์ชิวาวาโดยย่อให้มีขนาดเล็กลง แต่ยังคงรูปร่าง สัดส่วน รวมทั้งลักษณะนิสัยเดิมไว้ครบถ้วน คือ ฉลาดเฉลียวและกระตือรือร้น ชิวาวาเป็นสุนัขที่รักพวกพ้อง สนใจแต่พวกเดียวกัน ไม่ชอบยุ่งสุงสิงกับสุนัขพันธุ์อื่น โดยทั่วไปชาวอเมริกันนิยมเลี้ยงชิวาวาขนสั้นมากกว่าชิวาวาขนยาว และมันก็มีนิสัยรักพวกพ้องมากกว่าพวกขนยาวเสียด้วย มาตรฐานสายพันธุ์ชิวาวา ลักษณะทั่วไป สง่างาม กระตือรือร้น เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว รูปร่างกะทัดรัด หน้าตาทะเล้นดูสดใสน่ารักน้ำหนัก ไม่ควรหนักเกิน 6 ปอนด์ (ประมาณ 13.20 กิโลกรัม)สัดส่วน รูปร่างมีลักษณะลำตัวจะมีสัดส่วนของความยาวมากกว่าความสูงเล็กน้อย (ความยาววัดจากไหล่ไปจรดบั้นท้าย ส่วนความสูงวัดจากพื้นไปถึงจุดสูงสุดของไหล่ - withers) อย่างไรก็ตาม นิยมให้สุนัขตัวผู้มีลำตัวสั้นกว่าตัวเมียสุนัขที่หนักกว่า 6 ปอนด์จะไม่รับพิจารณาให้เข้าประกวดหัว กะโหลกกลม มีโดมสูงเล็กน้อยคล้ายผลแอปเปิ้ล หน้าตาดูทะเล้นตา ตากลมโตแต่ไม่ปูดโปน ตาสองข้างอยู่ห่างกันพอดีและมีขนาดสมดุลกัน ดวงตาแวววาว สีตามีสีเข้มหรืออาจเป็นสีออกแดงทับทิมก็เป็นได้ ถ้าสุนัขมีขนสีอ่อนหรือสีขาว ดวงตาอาจมีสีอ่อนได้หู หูใหญ่ ชี้ตั้ง เอียงออกด้านข้าง 45 องศา ทำให้ดูมีพื้นที่ระหว่างหูทั้งสองข้างกว้างขึ้น ถ้ามีสิ่งเร้าหูจะชี้ตรงขึ้น ถ้าหูตกหรือถูกตัดหูจะไม่รับพิจารณาให้เข้าประกวดส่วนจมูกกับปาก (muzzle) สั้นพอสมควร ชี้ตรงมาข้างหน้า แก้มและขากรรไกรเอนลาดไปด้านหลังจมูก สุนัขขนสีอ่อนหรือสีบลอนด์จะมีจมูกสีเดียวกับขน หรือสีดำ หรือสีชมพูก็ได้ ส่วนสุนัขขนสีเทาดำ สีน้ำเงิน หรือสีช็อคโกแลต สีจมูกก็จะเป็นไปตามสีขนเช่นกันการกัดงับ ปลายฟันบนสบกับปลายฟันล่างพอดี หรือฟันบนครอบฟันล่างชิดสนิท ไม่เหยินออก ถ้าฟันบนเหยินออกหรือฟันล่างครอบฟันบนในการประกวดจะถือว่าเป็นข้อบกพร่องร้ายแรง คอ โค้งเล็กน้อยแล้วลาดลงสู่ไหล่อย่างสวยงามแนวหลัง ตรงลำตัว ซี่โครงกางออกเป็นรูปกลม (แต่ไม่มากขนาดทำให้สุนัขมีรูปร่างเหมือนถังเบียร์)หาง ยาวพอสมควร หางโค้งเป็นรูปเคียว ชี้ขึ้นหรือจะเอียงออกด้านข้างก็ได้ หรือจะงอมากจนปลายม้วนขึ้นมาแตะหลังก็ได้ หางต้องไม่ตกลงไปจุกก้น ถ้าสุนัขถูกตัดหางหรือมีหางกุดจะไม่รับพิจารณาให้เข้าประกวดไหล่ ไหล่ลาด เอียงไปสู่แนวหลัง(แต่ต้องไม่ต่ำกว่าแนวหลัง) บริเวณส่วนบนของขาหน้ากว้างและรองรับไหล่ได้ดี ขาหน้าตรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ข้อศอกขาหน้าเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไหล่ต้องแข็งแรงเพื่อสร้างสมดุลของร่างกายและทำให้สุนัขดูมีพละกำลัง มีช่วงอกกว้างสมบูรณ์ (แต่ไม่ถึงกับเหมือนพวกบูลด็อก) เท้า เท้าเล็กดูกระจุ๋มกระจิ๋ม นิ้วเท้าแยกจากกันชัดเจนแต่ไม่กางออก อุ้งเท้าหนานุ่ม นิ้วเท้าไม่แบนราบ นิ้วเท้าคู่ที่อยู่ด้านในไม่ยาวยื่นกว่าสองนิ้วด้านนอกจนเกินพอดี และเท้าต้องไม่กลมมนหรือมีนิ้วเท้าเบียดชิดกันเกินไปข้อเท้า สวยงามแข็งแรงดีลำตัวส่วนท้าย มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์แข็งแรง ข้อศอกขาหลังอยู่ห่างกันอย่างพอเหมาะ ไม่กางออกหรือหุบเข้า ขาตรง มั่นคง เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้าขน ชิวาวาขนสั้น : ขนต้องนุ่ม เกรียน และเป็นมันวาว (สุนัขอาจมีขนหนาและมีขนสองชั้นได้) บริเวณคอควรมีขนหนาฟูเล็กน้อย ส่วนบริเวณหูและหัวควรมีขนน้อยกว่าและสั้นเกรียน ขนที่หางควรหนา ยาว และฟูเล็กน้อยเช่นกัน ชิวาวาขนยาว : ควรมีขนชั้นใน ขนอาจตรงหรือหยิกเล็กน้อยก็ได้แต่ต้องนุ่ม สุนัขควรมีขนหนา ยาว และฟูเล็กน้อยที่ขา เท้า และสะโพกขาหลัง รวมทั้งที่แผงคอและรอบคอ ต้องมีขนที่ขอบหูด้วยแต่ถ้าขนหนาเกินไปอาจเล็มออกได้บ้าง หูต้องไม่พับลง ส่วนขนที่หางต้องยาว หนา และฟูถ้าชิวาวาแบบขนยาวมีขนบางเกินไปจะไม่รับพิจารณาให้เข้าประกวดสีขน สีอะไรก็ได้ สีพื้น สีแต้มอย่างชัดเจน หรือสีที่แต้มอย่างกระจัดกระจายก็ได้การก้าวย่าง ควรเคลื่อนไหวอย่างแคล่วคล่องว่องไวแต่มั่นคง มั่นใจ ขาหน้าเหยียดยื่นออกไปได้ดีพอ ๆ กับที่ขาหลังส่งแรงผลักได้อย่างทรงพลัง เมื่อมองจากทางด้านหลังข้อศอกขาหลังทั้งสองข้างขนานกัน เมื่อก้าวเดินขาหลังก้าวตามขาหน้า เมื่อวิ่งขาทั้งสี่จะเอนเข้ามาแนวกลางลำตัว หัวตั้งตรง แนวหลังยังคงดูแข็งแรงมั่นคงและเป็นแนวตรงเมื่อสุนัขเดินหรือวิ่งอารมณ์ ตื่นตัวอยู่เสมอ กระตือรือร้น

American Cocker Spaniel



ค็อกเกอร์ สเปเนียลตระกูลสเปเนียลเป็นตระกูลใหญ่ที่มีความเก่าแก่พอสมควร ค็อกเกอร์ สเปเนียลมีด้วยกัน 2 สายพันธุ์คือ สายอังกฤษ และสายอเมริกัน อเมริกัน ค็อกเกอร์สเปเนียล ไม่ใช่สุนัขผสมข้ามสายพันธุ์แต่มีวิวัฒนาการในสหรัฐอเมริกาโดยนักผสมพันธุ์ที่พัฒนาสายพันธุ์จากอิงลิชค็อกเกอร์สเปเนียลจนกลายเป็นสายพันธุ์อเมริกันที่มีเสน่ห์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ อเมริกันค็อกเกอร์ สเปเนียล คู่หนึ่ง ได้ถูกนำเข้าไปในออสเตรเลียระหว่างสงครามโลก 2 ส่วนสูง และน้ำหนักตัวผู้จะสูงประมาณ 15.5 ถึง 16.5 นิ้ว หนักประมาณ 28 ถึง 34 ปอนด์ตัวเมียจะสูงประมาณ 15 ถึง 15.5 นิ้ว หนักประมาณ 26 ถึง 32 ปอนด์สีของ ค็อกเกอร์ สเปเนียลสีดำ สีแดง สีทอง และสีน้ำตาล อเมริกัน ค็อกเกอร์ สแปเนียลบางตัวอาจจะมีสีขาวประปายตามบริเวณคอ และหน้าอกและในบางตัวอาจจะมีสองสีในตัวเดียวกัน เช่นสีดำปนแทน สีดำปนขาวสีน้ำตาลปนขาว สีดำน้ำเงิน และสีน้ำเงินปนน้ำตาล หรือบางตัวมีสีส้ำสีน้ำตาล สีดำน้ำเงิน สำหรับตัวที่มีสามสี จะมีสีดำ สีแทน และสีขาวแซมด้วยลายพร้อยสีแทนอุปนิสัยประจำพันธุ์ ลักษณะประจำพันธุ์ และ อารมณ์ค็อกเกอร์ สเปเนียลมีนิสัยของสุนัขใช้ในกีฬาล่าสัตว์เป็นเอกลักษณ์กับประสาทสัมผัสที่พัฒนาอย่างเฉียบแหลมเพื่อการเก็บคาบและยังคงถูกใช้อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นสุนัขใช้ในกีฬาล่าสัตว์ในออสเตรเลียวัตถุประสงค์หลักคือเลี้ยงไว้เป็นความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆความต้องการการเอาใจใส่ดูแลอเมริกันค็อกเกอร์ สเปเนียลต้องการเวลาและความใส่ใจอย่างมากในการดูแลสุขภาพขนให้สวยสมบูรณ์อยู่เสมอโดยการแปรงขนบ่อยๆ และอาบน้ำหรือพาไปร้านตัดแต่งขนเป็นประจำโดยต้องดูแลตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัขและตลอดชั่วชีวิตของสุนัขขณะที่อเมริกันค็อกเกอร์ ดูสง่างามเมื่อสภาพขนสมบูรณ์เต็มที่ เจ้าของหลายคนจะเก็บและคอยตัดเล็มปลายขนโดยปล่อยขนที่ขาและท้องให้ยาวเพียง 5 ซม. เท่านั้นเพื่อลดโอกาสที่ขนจะพันกันเป็นปม และง่ายต่อ การอาบน้ำ การทำให้ขนแห้งและการตัดแต่งขน ช่วงฤดูหนาวควรดูแลเขาให้อยู่ในที่แห้งเท่าที่จะเป็นไปได้ในกรณีพื้นเปียกแฉะหรือเป็นโคลนเท่านั้นที่ควรหาเบาะรองนอนเพื่อช่วยป้องกันขนเสีย ข้อดี ของ ค็อกเกอร์ สเปเนียลรักเจ้าของมากแระมีร่างกายที่แข็งแรง ชอบเล่นน้ำ อาบน้ำ ค็อกเกอร์ สเปเนียลจะสงบเสงี่ยมและเห่านิดเห่าหน่อยไม่เป็นที่รำคาญของเพื่อนบ้านและเข้ากับเด็กได้ดี ค็อกเกอร์ สเปเนียล เป็นสุนัขชอบเล่นกับเด็กๆข้อเสีย ของ ค็อกเกอร์ สเปเนียลเป็นสุนัขที่เฝ้าบ้านไว้ใจไม่ค่อยได้ เพราะความที่ไม่ชอบเห่า ค็อกเกอร์สเปเนียลชอบกิน บางครั้งกินมากจนเกินไปเลยอ้วนทำให้เป็นสุนัขขี้เกียจเป็นโรคง่าย ควรที่จะให้อาหารที่มีแคลอรี่น้อยๆ แก่เจ้าค็อกเกอร์สเปเนียลสุนัขพันธุ์ขนที่รุ่มร่ามนี้จะดีที่สุดและควรตรวจสอบน้ำหนักอยู่เป็นประจำช่วงชีวิตเฉลี่ย ของ ค็อกเกอร์ สเปเนียลจะมีชีวิตอยู่ระหว่าง 10-16 ปี

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Great Dane

เกรทเดน(GreatDane)สุนัขสายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศ เยอรมนี คำว่า Great Dane ไม่มีส่วนเกี่ยว ข้องกับชาวเดนมาร์คเลย สุนัขพันธุ์ Great Dane เป็นสุนัขที่มีขนาดใหญ่ แข็งแรง ปราด เปรียวมีความสามารถเฉพาะตัวสูง ชาวเยอรมัน พัฒนาสุนัขพันธุ์นี้ขึ้นมาเพื่อล่าหมู ป่า และสิงโต สุนัข พันธุ์ Great Dane มีลักษณะเด่นหลายประการ จนมีผู้ยกย่องสุนัข พันธุ์นี้ว่า King of the Dog เมื่อ ฝูง Great Dane ออกล่าเหยื่อแม้แต่สิงโตหรือ สัตว์ที่ดุ ร้ายอย่างหมูป่าก็ไม่สามารถรอดพ้นเขี้ยวเล็บของ Great Dane ไปได้

ลักษณะเด่น :
ขนของเกรทเดนเป็นขนสั้น เรียบ และเงา สีของขนอาจจะเป็นสีน้ำตาลสีเทาแกมเหลือง สีน้ำเงิน และสีดำ
นิสัย : เกรทเดนเป็นสุนัขที่ขี้ประจบ เป็นมิตร เงียบๆ และสุภาพกับเด็กๆ ที่ปฏิบัติต่อมันอย่างนิ่มนวล หากมีคนมาหาจะส่งเสียงเห่าดังๆ บอกเจ้าของให้รู้ แต่ไม่ก้าวร้าวหรือกัด ถึงอย่างไรก็ตามควรเปิดโอกาสให้มัได้พบผู้คนและมีประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้มันเติบโตอย่างมีสุขภาพจิตดี และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ การฝึกสอนให้เชื่อฟังคำสั่ง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับยักษ์ใหญ่ใจดีตัวนี้ เจ้าของควรจะฝึกมันอย่างใจเย็นค่อยเป็นค่อยไป
การตัดแต่งขนและการออกกำลังกาย : ควรแปรงขนให้เจ้ายักษ์ตัวนี้ทุกสัปดาห์ และถึงแม้ว่าจะสามารถปรับตัวอยู่ในเมือง ชานเมือง หรือต่างจังหวัดได้ดี คุณก็ควรหาเวลาออกกำลังกายให้มันอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าลืมคำนึงถึงพื้นที่ของบ้านของคุณด้วย
ถิ่นกำเนิด :เดิมเกรทเดนมีต้นกำเนิดในเยอรมันและถูกเลี้ยงไว้เพื่อล่าหมูป่า แต่ในปัจจุบันเกรทเดนได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ที่ดีขึ้นจนได้ฉายาว่า "ยักษ์ใหญ่ใจดี" ซึ่งต่างจากสุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของมัน ส่วนสูง : 28-32 นิ้ว น้ำหนัก : 100-130 ปอนด์ ช่วงอายุเฉลี่ย : 6-8 ปีการจัดกลุ่มพันธุ์ : สุนัขอารักษา

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Labrador Retriever


ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever) เป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก สุนัขพันธุ์นี้คล้ายคลึงกับโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (GoldenRetriever)ต่างกันที่ความยาวของขนและขนาดของกล้ามเนื้อลำตัว โดยลาบราดอร์จะมีขนที่สั้นกว่า เป็นสุนัขที่ฉลาดหลักแหลม กระตือรือร้น รักสนุก ช่างเอาอกเอาใจ เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็ก เพราะมีนิสัยเป็นมิตร ทั้งนี้ ลาบราดอร์ มีจุดเด่นในเรื่องของความฉลาด มีคุณสมบัติในการตามกลิ่นได้เป็นเยี่ยม ลาบราดอร์ จึงมักถูกเลือกมาฝึกเพื่อใช้ในงานข้าราชการ ดังภาพที่เราจะเห็นเป็น สุนัข ตำรวจหรือ สุนัข กู้ภัย หรือกระทั่งใช้นำทางคนตาบอดชื่อสายพันธุ์ ลาบราดอร์ ได้มาจากแหล่งต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์นี้ คือ คาบสมุทร ลาบราดอร์ ประเทศแคนาดา แต่เดิมนั้นชาวประมงจะใช้ สุนัข ลาบราดอร์ ในการเก็บเหยื่อ จำพวกปลาที่หลุดออกจากเบ็ดหรือแห หรืออาจจะใช้ให้ไปคาบเป็ดป่าที่ถูกยิงตกลงไปบนน้ำที่เย็นเฉียบในปี พ.ศ.2378 มีผู้นำ สุนัข ลาบราดอร์ ลงเรือหาปลาไปขึ้นฝั่งที่ประเทศอังกฤษ จึงทำให้มีผู้พัฒนาสายพันธุ์มาเป็น สุนัข ล่าเหยื่อ และยังถูกใช้เป็น สุนัข กู้ภัยด้วย เพราะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วแม้ในภูมิประเทศที่ขรุขระ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง สุนัข ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความอดทน เข้มแข็ง มีความสามารถในการดมกลิ่นดีเยี่ยม มีความปรารถนาจะเอาใจผู้อื่นอีกด้วย และเป็น สุนัข ที่ขี้เล่นกับเจ้าของมาก
ลักษณะสายพันธุ์ของ สุนัขลาบราดอร์จะมีขนสองชั้น ชั้นนอกสั้น เหยียดตรง และแน่น ขนชั้นในนุ่มและช่วยปกป้องจากสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายได้ดี สีขนเป็นสีดำ สีเหลือง หรือสีช็อคโกแลต บางครั้งอาจมีจุดขาวบริเวณหน้าอก หางของ ลาบราดอร์ ดูคล้ายหางของตัวนาก โคนหางจะหนาและเรียวลงจนถึงปลายหาง ส่วนนิสัย "ลาบราดอร์"เป็นสุนัขที่มีเสน่ห์และน่าเลี้ยงที่สุดพันธุ์หนึ่ง ฝึกง่าย ตื่นตัว กระฉับกระเฉง ช่างประจบ ใจดี และ ฉลาด สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เป็นมิตรกับคนและสัตว์อื่น เป็น สุนัข ที่รักเด็ก และชอบเล่นกับเด็ก นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการสะกดรอยและการปราบปรามยาเสพติด

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Thai bangkaew




ไทยบางแก้ว (Thai bangkaew) สุนัขไทยพันธุ์เดียวในประเทศไทยที่มีขนยาวสองชั้น หางเป็นพวง มีขน ขาหน้าคล้ายขนขาแข้งสิงห์แผงรอบคอคล้ายสิงโตมีความเฉลียวฉลาด มีประวัติความเป็นมาของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว จากข้อมูลที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้ว ตำบลท่านางงาม และบ้านชุมแสงสงคราม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วนั้นอยู่ที่วัดบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็นป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาในหลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยงสุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัด ด้วยกิตติศัพท์ในความดุของสุนัขที่วัดบางแก้วนี้เอง จึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ที่สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ตำบลท่านางงามและตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัดเหตุผลที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด เพราะพื้นที่ในเขตตำบลท่านางงาม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด รวมทั้งสุนัขจิ้งจอกและหมาในอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้งจอกและหมาในตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมียที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว เพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง ซึ่งเรื่องนี้ อาจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ตรวจโครโมโซมของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วแล้วพบว่ามีโครโมโซมของสุนัขจิ้งจอกปะปนในโครโมโซมของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว ซึ่งเป็นการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วสืบเชื้อสายจากสุนัขลูกผสมระหว่างสุนัขบ้านกับสุนัขจิ้งจอก สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วจึงมีลักษณะดีเด่นปรากฏโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้ายอานม้า หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงโต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ ปู่เทือง คงเจริญ เป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมอนุรักษ์พัฒนาสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว ปู่เทือง คงเจริญ เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มาก เมธาวี ท่านมีบารมีมาก สามารถสะกดรอยตามเท้าสัตว์ได้ สมัยก่อนเดินทางด้วยม้า แล้วมีโจรมาขโมยม้าของหลวงปู่ หลวงปู่มากก็ใช้คาถาสะกดรอยตามเท้าสัตว์ จากนั้นไม่กี่วันก็ได้ม้ากลับคืนมา หลวงปู่มากเป็นพระที่มีเมตตาต่อสัตว์ ท่านเลี้ยงสัตว์เป็นจำนวนมากรวมถึงสุนัขบางแก้วที่เป็นสุนัขที่มีคุณค่า หลังจากนั้น ปู่เทืองก็ได้นำสุนัขบางแก้วมาเลี้ยงไว้ที่หมู่บ้านชุมแสงสงคราม จังหวัดพิษณุโลก และมีการพัฒนาพันธุ์และเผยแพร่

มาตรฐานสายพันธุ์
มีขนปุยยาว มีความสง่างาม ว่องไวและแข็งแรง เวลายืนมักเชิดหน้าและโก่งคอคล้ายม้า เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว หน้าแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมีสองชั้น นิสัยรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกหัดได้ ชอบเล่นน้ำมาก ขนาดเท่าสุนัขไทยทั่วไป หรือเล็กกว่าเล็กน้อย ไม่อ้วน ความสูงวัดที่ไหล่ ตัวผู้พ่อพันธุ์สูง 42-53 เซนติเมตร ตัวเมียแม่พันธุ์ 38-48 เซนติเมตร น้ำหนักตัวผู้ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมีย 13-15 กิโลกรัม ลำตัว ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ ช่วงตัวตอนท้ายค่อนข้างเล็ก ลำตัวหนาปานกลาง อกลึกปานกลาง อกแคบ ยืดอกเวลายืน ส่วนเอวจะคอดน้อยกว่าหมาไทย ท้ายลาด สง่าเหมือนสุนัขจิ้งจอก ส่วนขา ขาหน้าจะใหญ่กว่าขาหลังเล็กน้อย ขาส่วนบนใหญ่และเรียวลงมาถึงข้อเท้า ตั้งตรงแข็งแรง ถ้าดูด้านข้างจะเห็นขนยาวเป็นเส้นตรงจากข้อเท้าด้านหลังขึ้นไปถึงข้อศอกเหมือนขาสิงห์ ขาหลังช่วงล่างมีทั้งตั้งตรงและเกือบตรง ช่วงบนด้านหลังจะมีขนยาว เป็นเส้นตรงขึ้นไปจนถึงโคนหาง เวลายืนท่าปกติจะรับน้ำหนักทรงตัวดี นิ้วเรียงชิดกัน ขนที่ปลายนิ้วยาวหุ้มเล็บ หัว กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้น ตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนไปข้างๆ เล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นสุนัขบางแก้ว ภายในหูมีขนปรายปิดรูหูอย่างสีดำมีแววของความไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้า ใสแววที่เรียกกันว่า ตาเขียว จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กข่าวคม มีเขี้ยวข้างบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปานดำเหมือนสุนัขไทยทั่วไป ขนสองชั้น หนา ชั้นล่างละเอียดอ่อนนิ่ม ขนชั้นบนยาวเป็นเส้น เมื่อยังเล็กจะมีขนยาวปุกปุยแน่นทั่วตัว แต่เมื่อโตขึ้นจะมีขนยาวปานกลางแน่นทั้งตัว ขนที่กลางหลังตั้งแต่แผงคอไปยังโคนหางจะยาวกว่าขนบริเวณอื่น ๆ มีแผงขนเป็นชั้นช่วงสันหลัง เวลาโกรธจะฟูยกให้เห็นชัดเจน ด้านล่างจากข้อเท้าตอนล่างถึงโคนขาตอนบนจะมีขนยาวฟูพอประมาณ หางต้องเป็นพวง ถือเป็นลักษณะเด่นที่สืบทอดมาจากสุนัขจิ้งจอกลักษณะพวงหางแบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ ๆ คือ

1. หางตั้งโค้งไปข้างหน้า บางตัวหางจะเหยียดตรงวางทาบไปบนหลัง
2. หางพุ่งไปด้านหลังแล้วโค้งตั้งขึ้นเหมือนหางดาบ ถ้าหางยาวจะโค้งมาจรดหลัง ถ้ายาวมากจะเบี่ยงลงข้าง ถ้าหางพวงใหญ่มีน้ำหนักมาก หางจะไพล่ห้อยลงข้างตัว หางชนิดนี้มีอยู่มาก โดยเฉพาะแถบบ้านชุมแสงสงคราม
3. หางเป็นพวงลาดแบบแทงดิน ยาวห้อยลงอย่างหางม้า เวลาดีใจเมื่อเดินหรือวิ่งจะแกว่งหางไปมา เวลายืนหากมั่นใจว่าปลอดภัย จะยกหางสูงขึ้นเลยระดับตัวเล็กน้อย นักเลี้ยงสุนัขบางแก้วบางคนจะพูดถึงกิริยาหางนี้ว่า "ขึ้นได้-ลงได้" ลักษณะเช่นนี้เหมือนหมาป่ามาก เรียกว่า หางจิ้งจอก สีของบางแก้วมีสีหลักคือ สีดำพื้น, สีน้ำตาลพื้น, สีน้ำตาลปรายย้อมดำ (เขียว) , สีด่างน้ำตาลขาว, บางตัวนอกจากสีด่างดำขาว หรือสีน้ำตาลขาวยังแทรกจุดหย่อมเล็กกระจายมากน้อยทั่วทั้งตัวอีกด้วย ส่วนสีที่นิยมคือ ขาวปลอด ขาวน้ำตาล ขาวดำ เสียงเห่า เสียงเห่าแหลมเล็กกว่าสุนัขไทย การเดินวิ่ง เวลาเดินวิ่งจะเหยาะย่างสง่างามเหมือนม้าย่างเท้าสวนสนามปกติจะวิ่งซอยเท้าถี่

ข้อบกพร่อง ได้แก่ ใบหูพลิ้ว, ไม่มีขนแผงรอบคอ, ขาหน้าเล็ก, ไม่มีแข้งสิงห์, ไม่มีขนคลุมนิ้วเท้า, หูใหญ่, หางขอด, ขนหลุดร่วง, ฟันบนยื่นกว่าฟันล่าง, ปากใหญ่, ตาใหญ่, หูไม่ตั้ง, หางไม่เป็นพวง, ขนสั้น, อัณฑะเม็ดเดียว, ฟันขาด 3 ซี่ขึ้นไปโดยไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ, หางขาด, ฟันล่างยื่นกว่าฟันบน, ปากทู่, ตากลม, สันหลังแอ่น เป็นต้น