dogs

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Shih Tzu

ชิห์สุ(Shih Tzu) เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนสวยงามน่ารักคนที่มีโอกาสได้สัมผัสสุนัขพันธุ์นี้ มักอดใจหามาเป็นสมบัติของตัวเองไม่ได้ แม้ในประเทศที่มีเนื้อที่สร้างบ้านจำกัด ชิห์สุก็มีโอกาสเข้าไปเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของครอบครัวเสมอ ตามคอนโด หรือ อพาร์ตเม้นท์ก็ไม่เว้น ในบ้านเราเอง ชิห์สุเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน และเป็นอีกพันธุ์หนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบันและเป็นอีกพันธุ์หนึ่งที่มีผู้ส่งเข้าประกวดมากที่สุด ในสุนัขกลุ่มทอย
บรรพบุรุษของชิห์สุ ค่อนข้างจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นักแต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าชิห์สุ มีต้นกำเนิดจากทิเบต เนื่องจากตามประวัติศาสตร์ของชาวทิเบตถือว่าสิงโตเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนา พระชาวทิเบต(Lama)จึงได้ผสมสุนัขพันธุ์เล็กขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิงโต (Lion Dog) ชิห์สุ (ซึ่งแปลว่าสิงโต) จึงได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่เก่าแก่และตัวเล็กที่สุดในบรรดาสุนัขศักดิ์สิทธิ์ (Holy Dog) และมีลักษณะบางอย่างคล้ายกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ ของชาวทิเบต
ชิห์สุจากจีนในยุคแรก
ชิห์สุมาถึงดินแดนตะวันตกก่อนการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ประมาณ 25 ปี แน่นอนว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นสุนัขที่ถูกส่งให้เป็นของขวัญจากราชสำนักจีนให้แก่ราชวงศ์หรือเจ้านายชั้นสูงในตะวันตก หรือเป็นสุนัขที่ติดสอยห้อยตามภรรยาท่านทูตจากประเทศตะวันตกที่เข้าไปประจำในประเทศจีนซึ่งมักจะเป็นของขวัญที่ได้รับจากราชสำนักจีนอีกเช่นกันหรือแม้แต่การลักลอบ นำสุนัขชิห์สุออกจากประเทศจีนเองก็มี นางเฮนริค คอฟฟ์แมน ภรรยาท่านทูตเดนมาร์กประจำประเทศจีนนำสุนัขชิห์สุ3ตัวเข้าไปยังประเทศนอร์เวย์และขึ้นทะเบียนกับสมาคมคอกสุนัขแห่งนอร์เวย์ สุนัขเหล่านั้นได้แก่ เอดโซ ซึ่งเกิดที่ปักกิ่ง, ลีดซา เกิดในพระราชวังปักกิ่ง และ เชาเดอร์ เกิดที่เซี่ยงไฮ้ มีลูกสุนัขจากสายพันธู์นี้ตัวหนึ่งได้ถูกทูลถวายแก่สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป็น ดัทช์ เชสส์ ออฟ ยอร์ค พระเจ้ายอร์ชที่หกแห่งอังกฤษยังทรงกล่าวถึงหลานของสุนัขตัวนี้ว่า "เราเรียกมันว่า ชุ-ชู เพราะว่าตอนที่มาหาเราครั้งแรกนั้นมันทำเสียงเหมือนรถไฟทีเดียว" ลีดซาถือเป็นชิห์สุที่เกิดในวังเพียงตัวเดียวที่มาถึงตะวันตกบรรดาลูกหลานของมันจะมีขนสวยงามเหมือนบรรพบุรุษตัวอย่างเช่น Chumalari Ying-Ying เคยเป็นแชมป์แคนนาดา นอกจากนี้แม่ของ Ying-Ying ที่ชื่อ Tangra ก็เป็นแชมป์ในสวิทเซอร์แลนด์ เชคโกสโลวะเกีย และ แคนนาดา เมอซิเออร์ แกรฟฟ์ เอกอัตราชทูตเบลเยี่ยม ณ กรุงปักกิ่งมีชิห์สุซึ่งมีสายเลือดจากสุนัขในวังมา 6 ตัวและเมื่อได้ไปประจำในประเทศอื่นก็มักจะนำเชื้อสายของสุนัขเหล่านี้ไปให้แก่เพื่อนหรือคนรู้จักในประเทศนั้นๆด้วย ในช่วงสุดท้ายของราชสำนักจีนก่อนการปฏิวัตินั้น การผสมพันธุ์ชิห์สุโดยเหล่าขัณฑีนั้นทำไปตามยถากรรมเพราะ จักรพรรดิองค์ใหม่ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของจีนไม่ทรงโปรดสุนัข และ จำนวนขัณฑีถูกปลดออกจำนวนมากเนื่องจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ หลังจากจักรพรรดิทรงหนีไปเทียนสิน การผสมพันธุ์ยังคงดำเนินไปอีก 2-3 ปีก่อนที่สุนัขเหล่านี้จะถึงขั้นสูญพันธุ์ไปจากประเทศจีน แต่โชคยังดีที่มีการลักลอบและนำสุนัขชิห์สุออกไปยังประเทศแถบยุโรปบ้างพอสมควรและมีการขยายพันธุ์และส่งมอบให้แก่กันจนสุนัขชิห์สุมีอยู่ในหลายประเทศเช่น ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สวิทเซอร์แลนด์, เบลเยี่ยม, เดนมาร์ค การที่เรามีสายพันธุ์ชิห์สุที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้นั้น ต้องยกให้เป็นความดีของพระนางชูสีไทเฮาที่พยายามจะรักษาสายพันธุ์นี้ไว้ ซึ่งคอกสุนัขปั๊ก, ปักกิ่ง, และชิห์สุ ของพระนางฯ เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงทั่วโลก และถึงแม้ว่าพระนางจะดูแลเอาใจใส่สุนัขในคอกเป็นอย่างดีในตลอดช่วงเวลาที่พระนางมีชีวิตอยู่ แต่ก็ยังถูกลักลอบนำออกไปโดยขันฑีในราชสำนัก (เนื่องจากมีสุนัขมากเป็นร้อยตัวและประชาชนยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเลี้ยงเพราะผู้ที่จะเลี้ยงได้ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในวังเท่านั้น) ซึ่งขันฑีได้แอบผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์เพื่อต้องการลดขนาดของสุนัขให้เล็กลงและให้ได้มาร์คกิ้งที่ต้องการ หลังจากพระนางชูสีไทเฮาสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.1908 สุนัขก็ค่อยๆ กระจัดกระจายหายไป การผสมพันธุ์ก็เป็นไปแบบตามอำเภอใจ แต่ก็ยังมีผู้ที่ยังคงผสมพันธุ์เพื่อรักษาสายพันธุ์ไว้อยู่ และหลังจากที่มีการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ สุนัขในพระราชวังก็สูญพันธุ์ไปเนื่องจากมีการทำลายล้างพระราชวัง
ชิห์สุในอังกฤษ
ในยุคแรกๆที่ สุนัขชิห์สุเข้าไปอยู่ในประเทศแถบยุโรปนั้นยังไม่ได้รับการรองให้เป็นสุนัขพันธุ์แท้พันธุ์หนึ่งและมีการเรียกขานด้วยชื่อที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ธิเบตัน, Lion Dogs ฯลฯ นอกจากนี้ในขณะนั้น สุนัขพันธุ์ ลาซ่า แอปโซ่ ซึ่งมาจากธิเบตและมีลักษณะคล้ายชิห์สุมากได้รับการรับรองให้เป็นสุนัขพันธุ์แท้แล้ว ดังนั้น ผู้เลี้ยงสุนัขเท่าไปมักจะเข้าใจผิดคิดว่า ชิห์สุ เป็น ลาซ่า แอปโซ่ พลเอกเซอร์ดักกลาส และ เลดี้ บราวน์ริกก์ ซึ่งเคยพำนักอยู่ในประเทศจีนได้นำชิห์สุข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังประเทศอังกฤษและมีการขยายพันธุ์จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2477 สมาคมพันธุ์สุนัขธิเบตก็ตัดสินออกมาว่าสุนัขจากจีน (ซึ่งหมายถึงชิห์สุ) เหล่านี้ไม่ใช่ ลาซ่า แอปโซ่ และมีการใช้ชื่อ "SHIH TZU" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และมีการจัดตั้ง The Shih Tzu Tibetan Lion Dog Club ขึ้น และในปีต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น The Shih Tzu Club และในปี พ.ศ. 2483 จึงได้มีการลงมติให้จดทะเบียนแยกสุนัขชิห์สุเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งและสามารถเข้าแข่งขันได้
ชิห์สุในอเมริกา
จากหลักฐานของอังกฤษทำให้ทราบว่ามีชิห์สุอย่างน้อย 7 ตัวถูกส่งไปยังอเมริกาก่อนปี พ.ศ. 2495 สถานภาพของสุนัขชิห์สุในอเมริกาในช่วงนั้นค่อนข้างสับสน เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสุนัข ลาซ่า แอปโซ่จึงขึ้นทะเบียนเป็นสุนัขลาซ่า แอปโซ่ซึ่งได้รับการยอมรับแล้วหรืออาจกระทำโดยตั้งใจเพื่อให้สุนัขของตนเข้าสนามประกวดได้ รวมถึงการนำสุนัขชิห์สุไปผสมกับสุนัขลาซ่า แอปโซ่อีกด้วย ดังนั้น สมาคมผู้เลี้ยงสุนัขแห่งอเมริกา (American Kennel Club) จึงชะลอการยอมรับสุนัขพันธุ์นี้ออกไปอีก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2498 สมาคมผู้เลี้ยงสุนัขแห่งอเมริกายอมรับสุนัขพันธุ์นี้อย่างเป็นทางการและยอมให้เข้าประกวดในรุ่นทั่วไป (Miscellaneous Class) ซึ่งสมัยนั้นจะต้องเข้าแข่งขันกับสุนัขเช่น Akita, Chinese Crested และ King Charles Spaniel โดยที่สุนัขในรุ่นนี้ไม่สามารถเก็บคะแนนและเป็นแชมป์เปี้ยนได้ รางวัลสูงสุดที่ได้รับคือ รางวัลที่หนึ่งในรุ่นเท่านั้นแต่อย่างน้อยก็ทำให้ชิห์สุได้ปรากฎแก่สายตาประชาชน และอีกไม่กี่ปีต่อมา ชิห์สุ ก็กวาดรางวัลเกือบทั้งหมดในรุ่นนี้!!!ในปี พ.ศ. 2500 ชมรมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิห์สุแห่งอเมริกา (The Shih Tzu Club of America) ได้ก่อตั้งขึ้นและเป็นช่วงเดียวกันกับที่สมาคมผู้เลี้ยงสุนัขแห่งอเมริกาได้ยอมรับชิห์สุให้เข้าประกวดในฐานะสุนัขพันธุ์แท้พันธุ์หนึ่งซึ่งสามารถเป็นแชมป์เปี้ยนได้

ชิห์สุ มีอุปนิสัย ร่าเริง ตื่นตัว ฉลาด ขี้เล่น เป็นตัวของตัวเอง กล้าหาญ เป็นเพื่อนที่ดี รักเจ้าของ จงรักภัคดีต่อเจ้าของ ช่างประจบ รักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคนหากถูกฝึกให้เข้าสังคมอย่างเพียงพอ สามารถเข้าสังคมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ ได้ ปรับตัวได้ดีชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ กับเจ้าของ ในทุกเรื่อง ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ในบ้าน

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Beagle


บีเกิล (Beagle) เป็นสุนัขที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเฉลียวฉลาด ซุกซน คล่องแคล่วว่องไว ซึ่งก็เป็นเพราะพวกมันสืบสายเลือดมาจากบรรพบุรุษนักล่ากระต่ายฝีมือฉกาจปัจจุบันนี้แม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยนายพรานเหมือนสมัยก่อน แต่ก็ได้รับการยอมรับในฐานะสุนัขสำหรับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนที่สุดแสนน่ารัก โกรธใครไม่เป็น เหมาะสำหรับสร้างความสุขให้แก่สมาชิกทุกเพศทุกวัยในครอบครัว

ความเป็นมาของบีเกิล
ต้นกำเนิดของสุนัขสายพันธุ์บีเกิลนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าสุนัขกลุ่ม Hound สายพันธุ์นี้น่าจะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอังกฤษตั้งแต่ยุคสมัยก่อนที่จักรวรรดิโรมันจะเข้ายึดครอง บางรายงานกล่าวว่ามีการพบสุนัขสายพันธุ์นี้ในสมัยฝรั่งเศสและกรีกโบราณ และมีหลักฐานที่แน่ชัดชิ้นหนึ่งซึ่งบ่งชี้ว่ามีการใช้สุนัขสายพันธุ์นี้สำหรับล่าสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างกระต่าย ตั้งแต่ยุคสงครามครูเสดสุนัขสายพันธุ์บีเกิลสามารถพบเจอได้เกือบทุกพื้นที่ของประเทศอังกฤษเนื่องจากเป็นสายพันธุ์ซึ่งชาวอังกฤษนิยมเพาะมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง ความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของพวกเค้าคือมีความคล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างสูงในการไล่ล่าและแกะรอยกระต่ายป่า ดังนั้นนายพรานชาวอังกฤษจึงมักพาพวกเค้าออกไปเป็นฝูงแต่เช้ามืดเพื่อดมกลิ่นหาเหยื่อ เมื่อพวกเค้าได้กลิ่นเป้าหมายก็จะเห่าบอกเจ้านายและตามตีวงล้อมอย่างไม่ลดละ บีบให้เหยื่อเหลือทางหนีน้อยที่สุด (และหากเจ้ากระต่ายตัดสินใจหนีออกทางที่เหลืออยู่ก็มักต้องพบนายพรานดักรออยู่นั่นเอง) ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมของนายพรานชาวอังกฤษเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ได้มีผู้นำสุนัขสายพันธุ์บีเกิลไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง หากแต่บีเกิลที่เข้ามาในสหรัฐอเมริกาช่วงแรกๆ นั้นก็ยังไม่มีรูปร่างสวยงามตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์เหมือนอย่างบีเกิลของประเทศอังกฤษ กระทั่งถึงปี ค.ศ.1870 จึงมีนักพัฒนาสายพันธุ์สุนัขชาวสหรัฐฯ กลุ่มหนึ่งเริ่มหันมาสนใจพัฒนาสายพันธุ์ของบีเกิลอย่างจริงจัง จนทำให้ได้บีเกิลซึ่งมีลักษณะดี เป็นที่ยอมรับ ถูกต้องตามมาตรฐานในที่สุด ซึ่ง American Kennel Club ก็ได้ทำการจดทะเบียนรับรองสุนัขสายพันธุ์บีเกิลตัวแรกเมื่อปี ค.ศ.1885 และต่อมาในปี ค.ศ.1888 จึงได้มีการก่อตั้งชมรมผู้เพาะพันธุ์บีเกิลแห่งสหรัฐฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันสุนัขสายพันธุ์บีเกิลยังคงเป็นสุนัขซึ่งมีผู้นิยมเลี้ยงเป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยความน่ารัก คล่องแคล่ว และเป็นมิตรกับทุกคน อย่างไรก็ตามบีเกิลอาจไม่เหมาะนักสำหรับการเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เพราะความที่เค้าต้องการสังคมสูง ชอบเล่นสนุก ชอบผูกมิตรกับสมาชิกในครอบครัวและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นหากปล่อยให้เค้าต้องอยู่ตามลำพังเป็นเวลานานจนเกินไปอาจทำให้เค้าเกิดความเครียดและนำไปสู่พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์หลายๆ ประการ

ลักษณะนิสัย
บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเ ฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้านอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็กๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดีๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเค ย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ

MALTESE

มอลทีส(Maltese) มอลทีสเป็นสายพันธุ์เก่าแก่ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเกาะมอลต้าปัจจุบันนี้มอลต้าเป็นประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ย้อนไปในอดีตดินแดนแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นดินแดนสำคัญอยู่ในแถบทะเลเมอร์ดิเตอเรเนียน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่ามีคนอยู่อาศัยที่เกาะนี้มาตั้งแต่สมัย 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงหลังคือ 1,500 ปีก่อนคริสตกาลมีกลุ่มชนที่ลงหลักปักฐานเป็นปึกแผ่นที่นี่คือชาวฟีนีเชียน กวีทั้งหลายในสมัยนั้นต่างยกย่องดินแดนมอลต้าว่าเป็นดินแดนอันแสนสุข มีผู้คนที่ศิวิไลซ์และมีงานศิลปะที่เยี่ยมยอด รวมทั้งมีสุนัขที่สวยและสง่างามคือมอลทีสซึ่งถือกันว่าเป็นสุนัขชั้นสูงอยู่ในแวดวงสุนัขด้วยกัน มีกวีชาวสเปนชื่อ Marcus Valerius Martialis (เกิดปี ค.ศ.40) เคยเขียนร้อยแก้วอันไพเราะเพราะพริ้งกล่าวชื่นชมสุนัขพันธุ์มอลทีสของ Publius หนึ่งในบรรดาขุนนางแห่งเกาะมอลต้า สุนัขตัวนั้นชื่ออิสสา อิสสานั้นสดใสน่ารักกว่านก Catulla บริสุทธิ์กว่ารอยจุมพิตของนกพิราบ อ่อนหวานนุ่มนวลกว่าหญิงสาว สูงส่งกว่าอัญมณีจากชมพูทวีปและเพื่อให้ความรักความทรงจำนั้นคงอยู่ตลอดไปแม้อิสสาจะหาชีวิตไม่ Publius จึงได้สั่งให้ช่างวาดรูปของอิสสาขึ้นไว้ว่ากันว่ารูปวาดของอิสสานั้นเหมือนจริงมากขนาดแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนเป็นรูปอันไหนเป็นสุนัขตัวจริง นอกจากกวีโบราณคนดังกล่าวแล้ว ยังมีกวีอีกหลายท่านที่ได้เขียนบันทึกชื่นชมความงามน่ารักและความฉลาดเฉลียวของมอลทีสไว้ เช่น Callimachus the Elder (มีชีวิตอยู่ช่วง 384 - 322 ปีก่อนคริสตกาล), Strabo (ปีเกิดไม่ทราบแน่ชัดแต่ตายในปี ค.ศ.24), Pliny the Elder (ค.ศ.23 - 79), Saint Clement of Alexandria (มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 2) และกวีอื่น ๆ มอลทีสเป็นที่นิยมทั่วไป เมื่อมันตาย ชาวกรีกมักทำหลุมฝังศพสำหรับมันโดยเฉพาะ และตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 เป็นต้นมาชาวกรีกมักทำงานศิลปะะเซรามิกเป็นรูปสุนัขพันธุ์มอลทีส งานเซรามิกเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่แต่ในกรีกเท่านั้น แต่ถูกส่งไปยังประเทศต่าง ๆ ด้วย งานชิ้นหนึ่งที่ถือว่าสวยมาก ๆ ถูกขุดพบที่อียิปต์ มีเรื่องเล่าว่าพระราชินีแห่งอียิปต์หลายพระองค์เลี้ยงมอลทีสและให้มันกินอาหารที่คัดสรรอย่างดีจากจานทองคำ มีบันทึกอีกฉบับหนึ่งเขียนโดย Aldrovanus (ตายปี ค.ศ.1607) กล่าวว่า เขาเห็นการซื้อขายมอลทีสด้วยจำนวนเงินสูงมาก เทียบกับเงินสมัยนี้ก็ราว 14,800 บาท ในสมัยนั้นมอลทีสเป็นที่นิยมอย่างมากในอังกฤษและมักถูกกล่าวถึงเสมอ ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของขนาดที่เล็กมากของมัน เช่น E.Topsell เขียนบันทึกไว้ในปี ค.ศ.1607 ว่า "ตัวไม่ใหญ่ไปกว่าพังพอน" สองร้อยปีต่อมา Linnaeus เขียนไว้ว่า "ตัวขนาดกระรอก"และอีกคนหนึ่งชื่อ Danberton บันทึกว่า "พวกผู้หญิงเก็บมันไว้ในแขนเสื้อ" สำหรับในสหรัฐอเมริกา มอลทีสถูกนำมาโชว์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1877 เป็นมอลทีสสีขาวในชื่อสายพันธุ์ Maltese Lion Dog ในปี ค.ศ.1879 มีการนำมาโชว์อีกครั้งแต่คราวนี้เป็นมอลทีสที่มีสีแต้มและใช้ชื่อสายพันธุ์ว่า Maltese Skye Terrier และในปี ค.ศ.1888 จึงได้มีการลงทะเบียนมอลทีสใน The American Kennel Clubอย่างเป็นทางการ และได้รับการแก้ไขให้เป็น spaniels ไม่ใช่ terriers อย่างที่เข้าใจกัน นานนับศตวรรษที่มอลทีสถูกเลี้ยงอยู่ในแวดวงคนชั้นสูง มีความรู้และร่ำรวย พวกมันจึงได้รับการดูแลและพัฒนาสายพันธุ์อย่างดี ทำให้มันเป็นสุนัขที่สวย สง่างาม หมดจด และถึงแม้มันจะตัวเล็กแต่ก็เป็นสุนัขที่แข็งแรง ซื่อสัตย์และผูกพันกับมนุษย์มาก


ลักษณะทั่วไป มีขนาดเล็ก ขนยาวทั้งตัว สีขาวนุ่มเหมือนไหม เป็นสุนัขที่มีบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยนแต่ก็เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วกระตือรือร้นเหมาะแก่การเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

West Highland White Terrier

เวสต์ไฮด์แลนด์ไวท์เทอเรียร์ หรือ Westie เดิมมีชื่อเรียกว่า Roseneath Terrier หรือ Poltalloch Terrier มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ Poltalloch สก๊อตแลนด์ เป็นสุนัขพันธุ์เก่าแก่นับร้อยปีแต่เพิ่งมีผู้คนนิยมและนำออกมาโชว์เมื่อราวต้นศตวรรษที่ 18 หลักฐานความเก่าแก่เท่าที่สืบสาวไปได้ไกลที่สุดคือบันทึกของ ผู้พันมัลคอล์ม แห่ง Poltalloch ในปี ค.ศ.1916 เขียนไว้ว่าพ่อและปู่ของเขาเคยเลี้ยงหมา Westie จึงมีการคาดเดากันว่าต้นตระกูลของ Westie สืบสาวยาวไกลไปได้ถึงสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 Westie ออกโชว์ตัวครั้งแรกที่งานแสดงและประกวดสุนัข "Cruft" ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1907 ในปีถัดมาได้ลงทะเบียนกับ American Kennel Club ในชื่อ Roseneath Terrier หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น West Highland White Terrier อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1909Westie เป็นเหมือนสุนัขเทอร์เรียที่มาจากสก๊อตแลนด์พันธุ์อื่น ๆ กล่าวคือตัวเล็กแต่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว เวลาอยู่นอกบ้านจะเป็นนักล่าที่เก่งกล้า แคล่วคล่องว่องไว วิ่งเร็ว และฉลาดเจ้าเล่ห์ แต่เมื่อกลับบ้านจะเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี มีนิสัยร่าเริงสนุกสนานสาเหตุที่ทำให้ Westie เป็นสุนัขที่น่าเลี้ยงก็เพราะว่ามันเป็นสุนัขที่อดทน ชอบเล่นผจญภัยแบบออกแรงมาก ๆ ไม่ต้องดูแลประคบประหงมมาก ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งขนมากมายนักเพราะไว้ขนอย่างตามธรรมชาติก็น่าดูและมีเอกลักษณ์อยู่แล้ว แต่บางคนอาจจะดึงขนออกบ้างบางส่วนเพื่อให้และดูแปลกตา กระนั้นในการประกวดก็ยังนิยมให้มีขนเต็มร่างกายอยู่ดี ขนชั้นนอกหยาบแข็ง ควรตัดเล็มตามความเหมาะสมและควรทำความสะอาดด้วยวิธีใช้น้ำยาเช็ดดีกว่าจะอาบน้ำแบบสุนัขทั่วไป สุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็ก ชอบความสนุกสนาน ร่างกายมีความสมดุล แข็งแรง มีการนำเสนอและอวดตัวเองได้ค่อนข้างดี ไม่หวงตัวมาก มีโครงสร้างร่างกายที่ดี แข็งแรง มีอกที่ลึกและซี่โครงดีมีหลังตรง และลำตัวด้านหลังเต็มไปด้วบพลังจากกล้ามเนื้อของขาร่วมกับการแสดงออกของสุนัข ทำให้เพิ่มระดับความแข็งแรงและความคล่องแคล่ว ความยาวของขนประมาณ 2 นิ้ว เป็นขนสีขาวค่อนข้างแข็ง แต่ขนชั้นในนิ่ม ขนที่ยาวกว่าจะอยู่บริเวณด้านหลังและด้านข้าง ควรมีการเล็มขนให้สั้นในบริเวณคอและขนบริเวณไหล่ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือขนบริเวณรอบคอด้านบนต้องปล่อยไว้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวโดยแผ่เป็นรูปวงกลมรอบๆใบหน้า

มาตรฐานของสายพันธุ์เวสต์ไฮด์แลนด์ไวท์เทอเรียร์คือ ในตัวผู้ขนาดไม่ควรเกิน 11 นิ้ว เมื่อวัดจากไหล่ ในตัวเมียไม่ควรเกิน 10 นิ้ว ถ้าผิดไปจากนี้เล็กน้อยยอมรับได้ สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขขนาดกะทัดรัด ด้วยสัดส่วนและสมดุลที่ดี ลำตัวต้องระหว่างตะโหนกถึงหางจะสั้นกว่าความสูงเล็กน้อย มีขาที่สั้นแต่กระดูกเจริญดี แข็งแรง ศีรษะมีลักษณะกลมเมื่อมองจากด้านหน้า มีสัดส่วนที่พอเหมาะกับร่างกาย แววตาที่อยากรู้อยากเห็น ชอบค้นคว้า ทะเล้น นัยน์ตาตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีขนาดปานกลาง รูปทรงอัลมอนด์ สีน้ำตาลเข้ม ตาค่อนข้างลึก ตาคมและมีแววเฉลียวฉลาด มองจากด้านล่างมีขนคิ้วที่หนา ขอบตาดำลักษณะที่ผิด ขนาดเล็ก ตาโปน หรือสีซีด ส่วนใบหูเล็ก ตั้งตรงเสมอ ตั้งห่างกันอยู่ด้านบนของขอบนอกของกะโหลก ปลายใบหูค่อนข้างแหลม หูต้องไม่ตก ขนที่ใบหูต้องได้รับการตัดและเล็มอยู่เสมอ สุนัขต้องขยับใบหูได้อย่างอิสระ สุนัขผิวสีดำถือว่าปกติเป็นที่นิยมลักษณะที่ผิด ใบหูกลม กว้าง ใหญ่ หูตั้งชิดกัน ไม่ตั้งตรง หรือตั้งอยู่ต่ำเกินไป กะโหลกจะมีความกว้างกว่าด้านยาวเล็กน้อย แต่ไม่แบนตรงบริเวณส่วนบนสุด มียอดเล็กน้อยระหว่างใบหู แล้วลาดลงมาบริเวณนัยน์ตา มีจุดสต๊อบที่ชัดเจน มีคิ้วที่หนาลักษณะที่ผิด กะโหลกที่แคบหรือกว้างเกินไปส่วนปากไม่แหลม สั้นกว่าส่วนกะโหลก เต็มไปด้วยพละกำลังแล้วลาดลงมาสู่ปลายจมูก ซึ่งใหญ่และสีดำ ขากรรไกรได้ระดับและแข็งแรง ริมฝีปากต้องเป็นสีดำลักษณะที่ผิด ส่วนปากยาวกว่าส่วนกะโหลก จมูกมีสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำการสบกันของฟัน ฟันต้องใหญ่เหมาะกับขนาดของสุนัข ฟันตัดอย่างน้อย 6 ซี่ ระหว่างฟันเคี้ยว ทั้งฟันบนและฟันล่าง การไม่มีฟันกรามเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ฟันตัดบนอาจอนยู่เหลือครบ เหลือฟันตัดล่างเล็กน้อยยอมรับได้ ลำตัวคอเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและลาดลงไปยังไหล่ได้ดี ความยาวของลำคอต้องได้สัดส่วนของสุนัขลักษณะที่ผิด ลำคอสั้นหรือยาวเกินไป ส่วนบนของลำตัวเรียบและได้ระดับทั้งขณะที่ยืนและวิ่งหรือเดินลักษณะที่ผิด บั้นท้ายสูงเกินไปตัวบิด กะทัดรัดได้สัดส่วนดี อกลึกอย่างน้อยลงไปถึงข้อศอกสุนัขลักษณะที่ผิด อกตื้น แคบหรือแอ่น ยาวหรือสั้นเกินไป อกที่เป็นถังเบียร์ หางต้องสั้น ได้สัดส่วน ลักษณะคล้ายแครอท ขณะยืนต้องสูงไม่เกินกะโหลก ปกคลุมไปด้วยขนที่แข็ง ต้องตรงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หางชี้ชันแต่ต้องไม่แตะหลัง ต้องไม่ตัดหางลักษณะที่ผิด ตั้งอยู่ในตำแหน่งต่ำ หางยาวมากเกินไป ขนบางมาก หางม้วนขอดอยู่บนหลัง ที่ขาหลังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ทำมุมดี ขาไม่ถ่างมากนัก ขาบิดรงบริเวณข้อขาบนขาสั้นและขนานกัน เมื่อจากด้านท้ายลักษณะที่ผิด ขาบิดหรือขาถ่างมาก ไม่มีมุมระหว่างข้อ ข้อเท้ามีลักษณะคล้ายเท้าวัว อุ้งเท้าหลังเล็กกว่าเท้าหน้า มีอุ้งเท้าหนา อาจมีการตัดนิ้วติ่ ขนมีความสำคัญมาก ซึ่งนานๆครั้งจะพบว่าสุนัขมีขนที่สมบูรณ์แบบ ขนต้องเป็น 2 ชั้น เพื่อให้ศรีษะได้รูปต้องมีการดึงขนทิ้ง เพื่อให้ได้ใบหน้าที่กลม ขนชั้นนอกแข็ง ชี้ตรง สีขาว มีความยาวประมาณ 2 นิ้ว ขณะที่ขนบริเวณและคอจะสั้นกว่า อาจมีการตัดแต่งขนเพื่อให้ได้รูปทรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ จะมีขนที่ยาวบริเวณตำแหน่ง และขา ขนที่ดีคือสีขาว แข็ง ตรง ขนชั้นในนิ่มและ สีขน ต้องเป็นมีขาว ตามชื่อสุนัข การก้าวย่างจะเป็นอิสระ เดินตรงและเลี้ยวกลับไปมาง่าย มีอิสระและพลังขับเคลื่อนที่ดี อารมณ์ ทะเล้น สดใส ร่าเริง เป็นมิตร กล้าหาญ เชื่อมั่นในตนเองลักษณะที่ผิด ขี้ขลาด ขี้อาย หรือมีนิสัยนักเลง ชอบต่อสู้

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Bullterrier

บลูเทอร์เรีย(Bullterrier)สุนัขสายพันธุ์บูล เทอร์เรียร์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณปี ค.ศ.1835) เป็นสุนัขที่ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อไว้ใช้สำหรับการโชว์ เล่นกีฬา และเป็นเพื่อนของมนุษย์ที่สามารถใช้งานได้สารพัดประโยชน์Jame'sHinks คือผู้ให้กำเนิดสุนัขสายพันธุ์บูล เทอร์เรียร์ โดยการที่เขานำสุนัข 3 สายพันธุ์ คือ บูลด็อก (Bulldog) อิงลิช ไวท์ เทอร์เรียร์ (English White Terrier) ซี่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว และสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน (Dalmatian) มาผสมกัน โดยดึงเอาข้อดีของแต่ละสายพันธุ์มาพัฒนาและปรับปรุงเป็นพันธุ์ใ หม่ที่ดีขึ้นด้วยร่างกายที่ล่ำสันบึกบึนสุนัขสายพันธุ์บูลเทอร์เรียร์ จึงมีพละกำลังดีและแข็งแรง คล่องแคล่ว กล้าหาญ และมีคุณลักษณะพิเศษในการต่อสู้ เป็นพันธุ์ "นักสู้" ที่ขึ้นชื่อในสุนัขกลุ่มเทอร์เรียร์ เป็นการ์ดด็อกที่สามารถปกป้องได้ทั้งเจ้านายและตัวเองมีชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งที่คนนิยมเรียกกันคือ"The White Cavalier"

บูลเทอร์เรียร์เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าพละกำลังความงดงามและความคล่องแคล่วว่องไวเขาปราถนามิตรภาพจากพวกเรานิสัยและเอกลักษณ์ของเขาทำให้เขาเป็นเพื่อนกับเราไปได้ตลอดชีวิตมีความจงรักภักดีต่อทุกคนในครอบครัวบูล เทอร์เรียร์ มีนิสัยที่ทำให้เราต้องขบขัน มีสมอง มีจินตนาการ มีบุคคลิกไม่เหมือนสุนัขพันธุ์อื่น ที่ทำให้ใครๆ ต้องรักในความงามของเขา รูปลักษณ์รวมทั้งเอกลักษณ์ของเขาเป็นสิ่งพิเศษที่ทำให้แตกต่างจากสุนัขพันธุ์อื่น เอกลักษณ์และอุปนิสัยของบูล เทอร์เรียร์ มีความซับซ้อนมากบูล เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ซุกซนมาก และทำตัวคล้ายเด็ก ดังนั้นคุณต้องตระเตรียมสิ่งต่างๆ และต้องคอยเอาใจใส่ดูแลเขาให้ดี ความซุกซนเป็นลักษณะที่พบได้ใน บูล เทอร์เรียร์ หนุ่มแทบจะทุกตัว ลูกสุนัขจะซนมากเป็นพิเศษและบูล เทอร์เรียร์ หลายๆ ตัวจะยังคงซุกซนและชอบเล่นจนกระทั่ง วัยกลางคน (5-6 ปี). ไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังตัวเดียวนานๆ ไม่ว่าจะในบ้าน หรือในสนามวิ่งเล่น

บูลเทอร์เรียร์จะมีการผลัดขน 2 ครั้งต่อปี ขนที่หมดอายุสามารถเอาออกได้เป็นประจำทุกวันโดยการแปรงขน ควรตรวจเล็บและนิ้วติ่ง เป็นประจำทุกเดือนและคอยตัดเล็บโดยใช้กรรไกรตัดเล็บสุนัข บูล เทอร์เรียร์ โดยธรรมชาติผิวหนังจะค่อนข้างแพ้แสงแดดดังนั้นควรเอาใจใส่ดูแลในเดือนที่มีอากาศร้อนเป็นพิเศษบูล เทอร์เรียร์ ต้องการรั้วรอบขอบชิดเพื่อความปลอดภัย บริเวณสนามวิ่งเล่นที่มีขนาดใหญ่สักหน่อยเพื่อจะได้ไม่ต้องล่ามโซ่หรือผูกเขาไว้กับที่ และสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องการคือมิตรภาพจากพวกเรา

Collie Kennel



คอลลี่ (Collie) คอลลี่เป็นสุนัขพันธุ์เก่าแก่มีมานมนานแล้ว ในสมัยโบราณมนุษย์ใช้มันคุมฝูงแกะไปตลาด คอลลี่ขนสั้นนั้นได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งสุนัขต้อนปศุสัตว์เลยทีเดียว มีการบันทึกมาตรฐานสายพันธุ์คอลลี่ทั้งสองชนิดไว้ด้วย แต่เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว เจ้าคอลลี่ทั้งสองชนิดต่างถูกตราว่าเป็นสุนัขใช้งานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีการบันทึกมาตรฐานอะไรและไม่จำเป็นต้องมีเพดดีกรีด้วย ทั้งที่จริง ๆ แล้วพวกมันเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์และดีพอที่จะถูกบันทึกไว้ใน stud book (หนังสือรวบรวมสายพันธุ์สุนัข)ได้ หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของสุนัขพันธุ์คอลลี่นั้นเป็นรูปภาพพิมพ์ไม้ปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อTheHistoryof Quadrupeds เขียนโดย Thomas Bewick ในช่วงก่อนปีค.ศ.1800 หนังสือนี้บรรยายถึงคอลลี่ขนยาวว่า เป็นสุนัขเลี้ยงแกะ สูงแค่ 14 นิ้ว ตัวเล็ก กะโหลกกว้าง ปกติมีสีดำหรือดำ-ขาว ส่วนคอลลี่ขนสั้นนั้นเรียกกันว่า "ban dog" ตัวสูงใหญ่กว่าพวกขนยาวมาก สืบเชื้อสายมาจากพวกสุนัขตัวใหญ่แบบพวกมาสตีฟ ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 นักผสมพันธุ์สุนัขเริ่มสนใจคอลลี่ ประกอบกับเริ่มมีการบันทึกเพดดีกรีกันอย่างจริงจัง สุนัขพันธุ์คอลลี่จึงพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ตัวสูงขึ้นเท่านั้นแต่ยังมีลักษณะสายพันธุ์แบบบริสุทธิ์ หมายถึงไม่มีลักษณะของสายพันธุ์อื่นเข้ามาเจือปนอีกด้วย ในปี 1867 คอลลี่ขนยาวชื่อ "Old Cookies" ถือกำเนิดขึ้น เจ้าตัวนี้ได้รับเครดิตว่าเป็นคอลลี่ขนยาวที่ลักษณะสวยงามโดดเด่น ทั้งยังนำชื่อเสียงและความนิยมชมชอบมาสู่สุนัขพันธุ์นี้อย่างมากมายจนนำไปสู่การพัฒนาให้มีคอลลี่สีน้ำตาลเข้มเกิดขึ้น ต่อมาไม่นานคอลลี่ก็มีหลากสีสันมากขึ้น เช่น แดง buff , mottle ในหลาย ๆ เฉด, น้ำตาลเข้ม แต่ที่มีมากคือได้แก่สีดำ สีแทนและขาว สีดำและขาว และสี tortoise shell ที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่าสี blue merles การบันทึกเพดดีกรีของคอลลี่ในช่วงแรก ๆ นั้นสั้นแสนสั้น หนังสือ Stud Book ของอังกฤษชุดแรกมี "หมาเลี้ยงแกะและ Scotch Collies" อยู่ 78 ตัว ลงทะเบียนกันต่างปีต่าง ค.ศ.มาเรื่อย ตัวสุดท้ายที่ลงทะเบียนใน Stud Book เล่มนี้คือเมื่อ ค.ศ.1874 ในจำนวนนี้มี 15 ตัวเท่านั้นที่มีการบันทึกเพดดีกรี แต่กระนั้นก็ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรเพราะย้อนประวัติของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้เพียงสามรุ่นเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจ้าของสุนัขภูมิใจในตัวมันมากจนไม่เห็นความจำเป็นต้องบันทึกเพดดีกรีไว้ หลังจากนั้นไม่นาน วาสนาก็มาถึงคอลลี่เพราะจากที่เคยเป็นสุนัขวิ่งไล่แกะอยู่ตามท้องทุ่ง ก็ได้มาเฉิดฉายอยู่ในพระราชวัง เนื่องจากวันหนึ่งควีนวิคตอเรียได้เสด็จมาที่บัลมอรัล ทอดพระเนตรเห็นคอลลี่น่ารักจับใจ จึงได้นำเข้าไปเลี้ยงในวัง ในปี 1886 ได้มีการแบ่งชนิดของคอลลี่เป็นพวกขนยาวและขนสั้นอย่างชัดเจน เพราะเดิมไม่มีการแบ่งทำให้มันถูกจัดให้อยู่ในชนิดเดียวกันเมื่อมีการแข่งขัน เมื่อแบ่งแล้วกลายเป็นว่าพวกนักผสมพันธุ์สุนัขชาวอังกฤษก็ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นใด ๆ ต้องปรับปรุงรูปร่างและขนาดของคอลลี่อีกต่อไป ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของคอลลี่ส่วนใหญ่จึงเกิดขึ้นจากฝั่งอเมริกามากกว่า แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เพียงแต่อเมริกาทำให้คอลลี่ตัวใหญ่และหนักขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น สำหรับสถานะของคอลลี่ในอเมริกานั้น เดิมก็เป็นเพียงสุนัขเลี้ยงแกะเช่นกัน แต่เมื่อปี 1877 มีการนำคอลลี่ออกแสดงในงานโชว์ในนิวยอร์คโดยWestminster Kennel Club ในคราวนั้นพวกมันถูกจัดให้อยู่ในประเภท "Shepherd Dogs, or Collie Dogs" มีคอลลี่สองสามตัวเข้าร่วมโชว์ตัว ถือเป็นจุดเริ่มต้นแนะนำตัวในฐานะสุนัขมีเชื้อมีแถวในอเมริกา เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในปีถัดมา คือมีคอลลี่สองตัวถูกสั่งตรงมาจาก Queen Victoria's Royal Balmoral Kennel เพื่องานโชว์นี้โดยเฉพาะ สร้างความตื่นเต้นสนใจแก่ชาวอเมริกาผู้รักหมาอย่างมาก ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นหมาของผู้ดีในอเมริกาไป และแน่นอนว่าหลังจากนั้นก็มี kennels สำหรับคอลลี่เกิดขึ้นมากมายในอเมริกา คอลลี่จากอังกฤษถูกนำเข้าด้วยราคาที่แพง มหาศาล ห้าสิบปีต่อมาเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยที่ญี่ปุ่น นักผสมพันธ์สุนัขชาวอเมริกันหลายคนถูกชักชวนให้ขายคอลลี่ตัวงาม ๆ ให้ชาวญี่ปุ่นด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว ในขณะเดียวกันความนิยมสั่งซื้อคอลลี่จากอังกฤษก็ค่อย ๆ ลดลงจนเกือบจะไม่มีการสั่งซื้อจากอังกฤษอีกเลย ปัจจุบันนี้คอลลี่เปลี่ยนสถานะจากสุนัขสำหรับฟาร์มมาเป็นสุนัขสำหรับครอบครัว เปลี่ยนความสามารถเฉพาะตัวจากการเลี้ยงแกะมาเป็นเลี้ยงเด็กได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะมันมีนิสัยซื่อสัตย์จงรักภักดี มีสัญชาตญาณของการระแวดระวังและปกป้อง นอกจากนี้ยังมีบุคลิกท่วงท่าที่สง่างาม จากสถิติของ American Kennels Club ชาวอเมริกันโหวตให้คอลลี่เป็น 1 ใน 20 ยอดสุนัขในดวงใจติดต่อกันมาหลายปีแล้ว คอลลี่เป็นตัวอย่างของสุนัขที่มีการประชาสัมพันธ์ดี มีชมรมผู้เลี้ยงที่สนับสนุนดูแลสุนัขพันธุ์นี้อย่างเป็นจริงเป็นจังชื่อ Collie Club of America ตั้งขึ้นในปี 1886 (สองปีหลังจากมีการตั้ง American Kennels Club) ชมรมนี้กระตือรือร้นที่จะโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุก ๆ ข่าวคราวของคอลลี่ มีจุดประสงค์ให้คนรู้จักและอยากเลี้ยงกันมาก ๆ ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 3,500 กว่าคน งานโชว์แต่ละปีจะมีคอลลี่ถึง 400 กว่าตัวทั่วอเมริกามาเข้าร่วม อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จสูงสุดในการสร้างชื่อเสียงให้คอลลี่เกิดจากหนังสือชุดของ Albert Payson Terhune ชื่อ Lad : A Dog คนอเมริกันรุ่นแล้วรุ่นเล่านิยมอ่านหนังสือชุดนี้ จนในที่สุดก็ได้มีการนำมาสร้างเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ ชื่อเรื่องว่า Lassie เคยมาฉายในเมืองไทยอยู่พักหนึ่ง ทำเอาลูกเด็กเล็กแดง (รวมทั้งผู้ใหญ่หลายคน) ร่ำร้องอยากได้หมาอย่างแลสซี่กันเป็นแถว เรียกได้ว่าซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่องนี้ทำให้คอลลี่มัดใจคนทั่วโลกไว้ได้อย่างแท้จริง จนชื่อสายพันธุ์ที่ถูกต้องว่าคอลลี่ถูกเรียกแทนที่ว่าแลสซี่ไปเลย


มาตรฐานสายพันธุ์คอลลี่ ลักษณะทั่วไป คอลลี่เป็นสุนัขที่ร่าเริง แข็งแรง กระตือรืนร้นต่อสิ่งรอบข้าง เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและยืดหยุ่นดี ไม่งุ่มง่าม ยืนตัวตรงและมั่นคง อกลึกและกว้างแสดงความแข็งแรง ไหล่ลาดเอียงและข้อเท้าที่โค้งพอดีแสดงความเร็วในการวิ่ง ใบหน้าแสดงความฉลาดเฉลียว ลำตัวส่วนหน้าและส่วนหลังสมดุลกันอวัยวะทุกส่วนได้สัดส่วนและประสานกันเป็นรูปร่างที่สวยงามลงตัว เวลาเล่นกับคนหูจะพับแต่ถ้าได้ยินหรือได้กลิ่นแปลก ๆ

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Sibirskiy Haski

ไซบีเรียนฮัสกี้ (SibirskiyHaski) เป็นสุนัขขนาดกลาง ขนฟูแน่น จัดอยู่ในกลุ่มสุนัขใช้งาน มีต้นกำเนิดทางตะวันออกของไซบีเรีย เพาะพันธุ์มาจากสุนัขในวงศ์สปิตซ์ มีลักษณะขน 2 ชั้นฟูแน่น, หางรูปเคียว, หูเป็นรูปสามเหลี่ยมตั้งชัน และลายที่เป็นลักษณะเฉพาะที่แข็งแรง คล่องแคล่วและเต็มไปด้วยพลังและยืดหยุ่น เป็นคุณสมบัติที่สืบทอดจากบรรพบุรุษที่มาจากสิ่งแวดล้อมที่หนาวเย็นอย่างรุนแรงของไซบีเรียและการเพาะพันธุ์ของชาวชุกชี(Chukchi)ที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชียมันถูกนำเข้ามาในอะแลสการะหว่างช่วงตื่นทองที่เมืองนอมน์(Nome)และแพร่เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาในฐานะสุนัขลากเลื่อนก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นสุนัขเลี้ยงตามบ้านในภายหลังอย่างรวดเร็ว
ไซบีเรียนฮัสกี้มีรูปร่างลักษณะภายนอกคล้ายกับอลาสกันมาลามิวเช่นเดียวกับสายพันธุ์อื่นๆที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขวงศ์สปิตซ์เช่นซามอย ไซบีเรียนมีขนหนาแน่นกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น มีสีและรูปแบบขนที่หลากหลาย โดยปกติมีสีขาวที่เท้า, ขา, ท้อง, รอบตาหรือเป็นหน้ากากที่หน้า และที่ปลายหาง ทั่วไปมีสีดำ-ขาว, เทา-ขาว, ทองแดง-ขาว, และขาวปลอด และยังมีแบบที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะ เช่น สีอ่อน แต้มจุด แว่นตา ฯลฯ บางครั้งก็มีลักษณะคล้ายหมาป่าเกิดขึ้น แม้ว่าในการพัฒนาพันธุ์ไม่มีความใกล้ชิดกับหมาป่าหรือสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดเลย คิดว่าเกิดจากการเพาะพันธุ์ที่ไซบีเรียแล้ว
ลักษณะอารมณ์ของไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นมิตรและสุภาพ แต่ก็ว่องไวและชอบเข้าสังคม ไซบีเรียนจะไม่แสดงท่าทางให้เห็นว่าเป็นสุนัขคอยคุ้มครองที่มีคุณภาพจะไม่สงสัยคนแปลกหน้ามากเกินไปหรือไม่ก้าวร้าเหมือนกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ ไซบีเรียน โตเต็มที่มีความสวยและสง่างาม สะอาด อ่อนโยนหัวอ่อน สอนง่ายความอยากรู้อยากเห็นของไซบีเรียนทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นเพื่อนที่น่าคบ และเป็นแรงงานที่เต็มใจ ไซบีเรียน จะมีความสุภาพ ไว้ใจได้ และเป็นมิตร ความที่เป็นสุนัขอารมณ์ดีทำให้พวกเขาเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่เหมาะกับคนทุกวัย และเป็นสายพันธุ์ที่มีเสน่ห์กับคุณและทุกๆคน ตามธรรมชาติจะเป็นสุนัขที่ระวังระไว ทุ่มเท และติดตลก เป็นสุนัขที่ชอบเอาอกเอาใจเจ้าของ แต่ก็ควรเตรียมรับมือกับความเป็นสุนัขหัวดื้อ มุ่งมั่น และมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะธรรมชาติของการเป็นสุนัขทำงาน ไซบีเรียน แต่ละตัวจะมีลักษณะนิสัยของตัวเขาเอง แต่หากไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไซบีเรียน จะกลายเป็นตัวก่อความรำคาญเพราะเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลดความเบื่อหน่าย สุนัขพันธุ์นี้จะต้องคอยปรับและควบคุมการให้อาหารพวกเขามีเมตาบอลิซึมต่ำโดยกำเนิด และต้องการการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร ไม่มีอะไรที่ไม่น่าดูเท่ากับ ไซบีเรียน ฮัสกี อ้วนตุ๊ต๊ะอีกแล้วขณะที่สุนัขสายพันธุ์ต่างๆ ผลัดทิ้งขนตามฤดู แต่ใน ไซบีเรียน ขนชั้นในทั้งตัวของสุนัขจะออกมาเป็นปุย ดูเหมือนขนแกะมาก ไซบีเรียน ฮัสกี มีความขะมักเขม้น และมีความปรารถนาที่จะวิ่งอย่างที่สุด การเข้าใจธรรมชาติของเขาและเห็นประโยชน์ในการวางทิศทางที่ดีในการออกกำลังกายของ ไซบีเรียน ที่เป็นสุนัขลากเลื่อน ซึ่งเป็นความจำเป็นให้เขาได้มีทางปลดปล่อยพลังงานของเขาออกมาและควรเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอ
ในสุนัขทุกสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนาพันธุ์เป็นผลมาจากบรรพบุรุษเดียวกันนั่นคือสุนัขป่าโบราณ(วงศ์ Canidae) สุนัขเอซคิโม (สุนัขลากเลื่อน) เป็นสุนัขที่มีภาพลักษณ์กระตือรือร้นอย่างไซบีเรียนฮัสกี้, ซามอย, และอลาสกันมาลามิว ที่สืบสายตรงจากสุนัขลากเลื่อน การวิเคราะห์ดีเอ็นเอที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้ช่วยยืนยันว่ามันเป็นหนึ่งในสุนัขที่มีการเพาะเลี้ยงมาแต่โบราณดังที่เห็นได้จากอลาสกันมาลามิวคำว่า"ฮัสกี้(husky)"ได้มาจากชื่อที่ใช้เรียกชาวอินนูอิต(Inuit)ว่า"ฮัสกี้ส์(huskies)" โดยคณะสำรวจคนขาว (Caucasian) คณะแรกๆที่มาถึงแผ่นดินของพวกเขาส่วนคำว่า "ไซบีเรียน (Siberian)"ได้มาจากไซบีเรียนั่นเองเนื่องจากความคิดที่ว่าสุนัขลากเลื่อนนี้ถูกใช้ในการข้ามสะพานแผ่นดินของช่องแคบเบอร์ริ่งที่เป็นทางเข้าสู่หรือออกจากมลรัฐอะแลสกา, ซึ่งทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้า สุนัขที่สืบเชื้อสายมาจากสุนัขเอซคิโมสามารถพบได้ตลอดซีกโลกด้านเหนือจากไซบีเรียถึงประเทศแคนาดา, มลรัฐอะแลสกา, กรีนแลนด์, ลาบราดอร์ (Labrador), และเกาะบัฟฟินค์ (Baffin Island)ด้วยความช่วยเหลือของไซบีเรียนฮัสกี้ ประชาชนของชนเผ่าต่างๆไม่เพียงแค่รอดตายเท่านั้นในการออกสำรวจดินแดนที่ไม่ มีรู้จัก พลเรือเองโรเบิร์ตเพียร์รี่(RobertPeary)แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาก็ได้รับความช่วยเหลือจากสายพันธุ์นี้ระหว่างคณะสำรวจของเขาออก สำรวจขั้วโลกเหนือ บทบาทของไซบีเรียนฮัสกี้ในกระทำหน้าที่นี้ไม่สามารถเป็นที่หยั่งรู้ได้สุนัขจากแม่น้ำอานาเดียร์ (Anadyr River) และพื้นที่รอบๆถูกนำเข้ามาในมลรัฐอะแลสกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 (และเป็นเวลา 2 ทศวรรษ)ในช่วงตื่นทองเพื่อใช้เป็นสุนัขลากเลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน All-Alaska Sweepstakes (AAS)หรือการแข่งสุนัขลากเลื่อนทางไกลซึ่งเป็นระยะทาง 408 ไมล์ (657 กม.)จากเมืองนอมน์ (Nome) ถึงเมืองแคนเดิล (Candle) ไปและกลับ "เล็กกว่า, เร็วกว่า และอดทนมากกว่า ในการบรรทุกน้ำหนักราว 100 - 120 ปอนด์ (45 - 54 กิโลกรัม)" มันเป็นส่วนสำคัญใกล้ชิดของผู้เข้าแข่งขันยาวนอมน์ที่มีชื่อเสียงลีออนฮาร์ด เซพพารา (Leonhard Seppala) ที่เคยเป็นผู้เพาะเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้มาก่อนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 ถึงช่วง ค.ศ. 1920ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925 กันเนอร์ คาเซ็น (Gunnar Kaasen) เป็นผู้นำเซรุ่มไปถึงเมืองนอมน์เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1925 เพื่อรักษาโรคคอตีบ กันเนอร์ได้ออกจากเมืองนีนนานา (Nenana) ไปสู่เมื่องนอมน์เป็นระยะทางมากกว่า 600 ไมล์ ด้วยความพยายามของผู้เดินทางและความช่วยเหลือของสุนัขลากเลื่อน การแข่งขัน Iditarod Trail Sled Dog Race (การแข่งสุนัขลากเลื่อนสู่เมื่องอิดิตทารอต) ที่จัดขึ้นก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการขนส่งเซรุ่มนี้เอง และเหตุการณ์นี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันในปี ค.ศ. 1995 ที่ชื่อ"บอลโต (Balto)" ตามชื่อของสุนัขนำทีมของกันเนอร์ และเพื่อเป็นเกียรติแก่สุนัขนำทีมบอลโต มีการสร้างรูปหล่อเหมือนที่ทำจากทองแดง ตั้งอยู่ในเซ็นทรอล ปาร์คในมลรัฐนิวยอร์ก มีคำจารึกดังนี้ อุทิศแก่จิตวิญญาณที่ทรหดของสุนัขลากเลื่อน ที่นำเชื้อต้านพิษบนทางยากลำบากเต็มไปด้วยน้ำแข็ง 600 ไมล์, ข้ามลำน้ำที่แข็งตัว, ฝ่าพายุหิมะของขั้วโลกเหนือจากเมื่องนีนนานาสู่เมืองนอมน์ที่รอความช่วย เหลือให้พ้นจากโรคร้ายในฤดูหนาวปี ค.ศ. 1925 อดทน--ซื่อสัตย์--มีไหวพริบในปี ค.ศ. 1930 ไซบีเรียนฮัสกี้ตัวสุดท้ายถูกนำออกจากรัฐบาลโซเวียดใกล้กับพรมแดนของไซบีเรียเพื่อการแลกเปลี่ยนกับภายนอก ปีเดียวกันมีการจดทะเบียนรับรองสายพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้โดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งสหรัฐอเมริกาเป็น 9 ปีหลังจากสายพันธุ์นี้ถูกจดทะเบียนในประเทศแคนนาดา ณ.วันนี้ไซบีเรียนฮัสกี้ที่จดทะเบียนในอเมริกาเหนือเป็นลูกหลานส่วนใหญ่ของไซบีเรียนฮัสกี้ที่ถูกนำเข้ามาในปี ค.ศ. 1930 และสุนัขของลีออนฮาร์ด เซพพารา เซพพาราเจ้าของคอกสุนัขในนีนนานาก่อนที่จะย้ายไปอยู่นิวอิงแลนด์ อาเทอร์ วาวเด็น (Arthur Walden) เจ้าของคอกสุนัขชินุก (Chinook) แห่งวอนนาแวมเซิด (Wonalancet) มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ผู้มีไซบีเรียนฮัสกี้ในคอกที่โดดเด่น สุนัขตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคอกของเขามาจากอะแลสกาโดยตรงและมาจากคอกของเซพพารา ก่อนที่จะมีชื่อเสียง, ในปี ค.ศ. 1933 ว่าที่พลเรือเอกริชาร์ด อี. เบอร์ด(Richard E. Byrd) แห่งกองทัพเรือได้ซื้อสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ราวๆ 50 ตัวด้วยตัวเขาเอง หลายๆตัวถูกรวบรวมและฝึกจากคอกชินุกในมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ เพื่อใช้ในคณะสำรวจของเบอร์ดที่เขาหวังจะเดินทางราวๆ 16,000 ไมล์ไปตามชายฝั่งของทวีปแอนตาร์กติกา ที่เรียกว่าปฏิบัติการกระโดดสูง (Operation Highjump) จากประวัติการเดินทางนี้เอง พิสูจน์ให้เห็นคุณค่าไซบีเรียนฮัสกี้เพราะขนาดที่พอเหมาะ และความเร็วที่ดีเยี่ยม กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ใช้ไซบีเรียนฮัสกี้ในการค้นหาและช่วยเหลือในขั้วโลกเหนือของคำสั่งขนส่งทางอากาศระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

Golden Retriever

โกลเดนรีทรีฟเวอร์(GoldenRetriever)เป็นสายพันธุ์สุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศสกอตแลนด์ มีขนยาว มีสีขนเหลืองอ่อน เหลืองทอง และเหลืองเข้ม สีขนสวยงามทำให้ได้รับความนิยมมาก สีขนอาจเป็นสีครีมหรือสีทองแต่ต้องไม่เข้มจนดูเหมือนสีแดง เหมาะเป็นสัตว์เลี้ยง ฝึกง่าย แต่ต้องให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ประวัติ กล่าวกันว่าพัฒนามาจากสุนัขในละครสัตว์ของรัสเซีย แต่เชื่อกันว่าน่าจะเกิดจากสุนัขรีทรีฟเวอร์พันธุ์ขนเรียบสีเหลืองกับพันธุ์ทวีดวอเทอร์ สเปเนียล และต่อมาได้ผสมกับพันธุ์ไอริช เซตเทอร์ พันธุ์ลาบลาดอร์ และพันธุ์บลัดฮาวนด์ ข้อสังเกต มีชื่อว่าสุนัขพันธุ์ขนเรียบสีทอง จน ค.ศ.1920 จึงมีชื่อพันธุ์ใหม่ว่าโกลเดน รีทรีฟเวอร์สุนัขแสนรู้ในภาพยนต์หลาย ๆ เรื่องพันธุ์นี้ กำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษโดยท่าน ลอร์ด ทวีตเม้าท์ที่ 1 โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่เกิดจากการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ ของสุนัขพันธุ์ต่างๆ เช่น รีทรีฟเวอร์สายเก่าของอังกฤษ,ทวีดวอเตอร์สแปเนียลไอริชเซ็ทอตอร์ ,บลัดฮาว ,วอเตอร์สแปเนียลโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ถูกพัฒนาพันธุ์จนได้สายเลือดที่นิ่งจนกลายเป็นสุนัขพันธุ์แท้พันธุ์หนี่งของโลก นับระยะเวลาที่ท่านลอร์ดทวีตเม้าที่ 1 เริ่มสร้างสายพันธุ์ ในปี ค.ศ. 1865 ปี 200นี้ นับเวลาได้ 135 ปี โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในโลก ด้วยความท ี่เป็นสุนัขที่มีลักษณะเป็นมิตรด้วยใบหน้าและแววตาที่ดูเหมือนจะยิ้มได้ตลอดเวลา ไม่มีความกร้าวร้าว เฉลียวฉลาดและช่าง เอาใจ ฝึกสอนง่าย จึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันอยู่มากในทุกวันนี้โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่เกิดจากการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นในราวศตวรรษที่ 19 ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อใช้เป็นสุนัขที่ช่วยในการล่าสัตว์ ทั้งที่เป็นสัตว์บกและสัตว์น้ำ ฉะนั้น สุนัขพันธุ์นี้จึงเป็นสายพันธุ์ที่ยอมรับคำสั่งและการฝึกจากมนุษย์ได้ง่าย สามารถอยู่ร่วมกับสุนัขตัวอื่นๆ ที่เข้าร่วมในการล่าสัตว์ได้เป็นอย่างดี เพราะการที่มันถือกำเนิดขึ้นเพื่อใช้ในการล่าสัตว์นี่เอง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ จึงมีความสามารถพิเศษในการวิ่งออกไปคาบสัตว์มาให้แก่เจ้าของ นิสัยนี้ถูกฝังอยู่ในสายเลือดแม้ไม่มีสัตว์ที่ถูกล่ามาให้คาบ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ก็สามารถคาบสิ่งต่างๆ ที่เจ้าของโยนออกไปกลับมาคืนได้อย่างน่าทึ่ง


นิสัยของเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์
โกลเด้น รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขที่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับคน เมื่อเจอคนแปลกหน้ามันมักจะกระดิกหางวิ่งเข้าไปต้อนรับด้วยท่าทางดีใจราวกับว่าได้พบ เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน สุนัขพันธุ์นี้จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งที่คุณจะนำมาใช้เฝ้าบ้าน เพราะมันไม่มีลักษณะนิสัยที่ก้าวร้าวต่อคนแปลกหน้า แม้บางครั้งโกลเด้น รีทรีฟเวอร์จะเห่าเสียงดังเมื่อคนแปลกหน้าล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขต แต่ลักษณะการสะบัดหางด้วยท่าทีเป็นมิตร จะทำให้คนแปลกหน้าที่คุ้นเคยกับสุนัข มาก่อนทราบว่ามันเห่าด้วยความดีใจ มากกว่าที่จะเห่าไล่หรือตรงเข้าไปทำร้าย โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ชอบที่จะเป็นศูนย์กลางการเอาใจใส่จากเจ้าของ บาง ครั้งเมื่อเจ้าของสาละวนอยู่กับแก้วน้ำในมือ เจ้าโกลเด้นอาจจะใช้ปากพลิกแก้วน้ำ ให้น้ำหกรดจมูกของมันเพื่อให้เจ้าของหันมาสนใจที่ตัวมันมากกว่าที่แก้วน้ำ สุนัขพันธุ์นี้มักคิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของ และคิดว่ามันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนกัน เห็นได้จากการที่มันมักจะกระโดดขึ้นไปวางท่านั่ง หรือนอนบนเก้าอี้หรือโซฟา ด้วยทีท่าเหมือนกับคน พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเสน่ห์พิเศษ ที่ทำให้เจ้าของหลงรัก และมองว่าเป็นความน่ารักเฉพาะตัวของเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ที่ไม่มีสุนัขพันธุ์ไหน ทำได้เหมือน โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่ชอบใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน รักการผจญภัย และมีความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กๆ มันชอบกระโดดไปตามที่ต่างๆ ยืดตัวขึ้นสูงเพื่อชะโงกดูว่ามีอะไรอยู่บนเคาน์เตอร์ หรือเดินพิสูจน์กลิ่น ไปตามสุมทุมพุ่มไม้รอบบ้าน และเป็นนักขุดที่ทำให้สนามเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่ว ทั้งนี้ก็เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวมันนั่นเอง โกลเด้นบางตัวมีพฤติกรรมที่คุณอาจจะเห็นว่าแปลกสักหน่อย คืองับแขนเจ้าของแล้วดึงไปข้างหน้า เพื่อพาเจ้าของไปยังที่ต่างๆ ที่มันอยากพาไปเพื่อให้เจ้าของได้มีส่วนร่วมในการผจญภัยของมันด้วย โกลเด้น รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขที่มีต้นกำเนิดมาเพื่อล่าสัตว์ที่อยู่ริมน้ำ ดังนั้นบุคลิก ที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของมันคือชอบลงไปในบริเวณที่มีน้ำขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ กระถางบัว บ่อปลา หรือแม้แต่ชามใส่น้ำของตัวมันเอง เรามักเห็นโกลเด้นเดินไป เพื่อเอาเท้าข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างวางลงในชามใส่น้ำพร้อมกับเลียน้ำขึ้นดื่ม และเมื่อเจ้าของดุเมื่อมันทำให้พื้นบ้านเปียกแฉะไปด้วยน้ำ มันก็มักจะทำทีท่าเหมือน กับว่าได้รับชัยชนะในการเล่นซน และไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ที่ได้ทำอย่างนั้น ในกรณีที่พื้นบ้านของคุณไม่เหมาะกับการเปียกน้ำตลอดวัน ขอแนะนำให้วางชามใส่น้ำไว้บนขาตั้งที่มันไม่สามารถแหย่เท้าลงไปได้ และควรมีกาละมังใส่น้ำไว้เมื่อคุณพร้อมที่จะอนุญาตให้เจ้าโกลเด้นเล่นน้ำตาม สัญชาติญาณที่มีมาตั้งแต่เกิด ด้วยลักษณะนิสัยและความต้องการเช่นนี้ของโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ สุนัขพันธุ์นี้ จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะอาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่มีสนามหรือบ่อน้ำที่จะให้พวกมัน ออกกำลังกายได้


สิ่งที่โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ต้องการ ถ้าจะถามว่โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ต้องการอะไรจากเจ้าของบ้าง คำตอบแรกก็คือความใส่ใจ เพราะเจ้าโกลเด้นเป็นสุนัขที่ต้องการความใส่ใจเป็นพิเศษจนถึงขนาดเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เจ้าของเลยทีเดียว แน่นอนว่าพวกมัน ต้องการที่จะออกไปวิ่งเล่นในสวนรอบๆ บ้าน แต่มันก็ต้องการให้เจ้าของออกไปเล่นกับมันด้วย และหากคุณเคยออกไปใช้ชีวิต กลางแจ้งร่วมกับมันละก็ เชื่อได้เลยว่ามันกำลัง เฝ้ารอการได้ออกไปใช้ชีวิต กลางแจ้งร่วมกันคุณอีกครั้ง การเกาคางหรือลูบหลังลูบไหล่ เป็นสิ่งที่โกลเด้นต้องการเป็นลำดับถัดมา เพราะนั่นเป็นการสื่อภาษาทางร่างกายว่าคุณรักและเอาใจใส่พวกมันอยู่เสมอ และจะยิ่งทำให้พวกมันรักและบูชาคุณมากยิ่งขึ้นการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ต้องการอย่างสม่ำเสมอ วิธีการออกกำลังที่เหมาะสมก็คือการพาเดิน การปล่อยให้วิ่ง หรือการโยนสิ่งของออกไปไกลๆ เพื่อให้ไปคาบกลับมา รวมทั้งการว่ายน้ำในกรณีที่มีแอ่งน้ำที่สะอาดและปลอดภัยด้วย อาหารที่โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ขนาดโตเต็มวัยต้องการควรเป็นอาหาร ในระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยมโดยให้เพียงวันละ 1ครั้งในปริมาณที่เพียงพอ และในระหว่างวันอาจให้บิสกิตเสริมได้วันละ 2ครั้ง บริเวณสำหรับนอนเป็นอีกส่วนหนึ่งที่โกลเด้นต้องการ ผ้าปูรองนอนนุ่มๆ หาของเล่นส่วนตัวสักชิ้นสองชิ้นที่มันสามารถกัดแทะได้ เช่น กระดูกเทียม หรือลูกบอลยางวางไว้รอบตัวให้มันด้วย จะช่วยให้โกลเด้นมีที่สงบและปลอดภัยสำหรับ ช่วงเวลาที่พวกมันต้องการความเป็นส่วนตัวและต้องการพักผ่อนสิ่งสุดท้ายที่เจ้าของสามารถตอบสนองความต้องการให้แก่โกลเด้นได้ก็คือการพาเจ้าโกลเด้นไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อฉีดวัคซีนที่จำเป็นรวมทั้งเช็คร่างกายว่าปราศจากพยาธิ และโรคภัยต่างๆ นอกจากนี้ เจ้าของยังสามารถช่วยดูแลเรื่องความสะอาดภายในใบหู ดูแลเรื่องเห็บและหมัด รวมทั้งตัดเล็บให้มันอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้วิ่งและกระโดดง่ายขึ้น หากคุณสามารถดูแลในสิ่งพื้นฐานที่โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ต้องการจากคุณได้แล้ว คุณอาจประหลาดใจก็ได้ว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้สามารถสร้างความรัก ความผูกพันและความประทับใจให้กับคุณได้อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว