dogs

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Australian silky terrier



ซิลกี้ เทอร์เรีย (Australian silky terrier) มีถิ่นกำเนิดที่เมืองซิดนี่ ประเทศออสเตรเลีย แต่ยอร์คเชีย เทอเรีย จะมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงต้นๆ "ซิลกี้ เทอเรีย" จะมีชื่อเรียกว่าซิดนี่ ซิลกี้ เทอร์เรีย เป็นการเรียกตามแหล่งกำเนิดคือเมืองซิดนี่ต่อมาเรียกชื่อย่อเป็นพันธุ์ "ซิลกี้ เทอร์เรีย" สุนัขพันธุ์นี้ลงประกวดครั้งแรกในประเทศออสเตรเลีย
ในราวปี 1907 และมีมาตรฐานพันธุ์ขึ้นในปี 1909 และต่อมาได้มมีการนำสุนัขซิลกี้ เทอร์เรีย เข้าไปพัฒนาสายพันธุ์ในอเมริกา ราวปี 1950 และได้ขึ้นทะเบียนต่อ A.K.C. ในปี ค.ศ.19595 ซิลกี้ เทอเรีย เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่จัดรวมอยู่ในกลุ่ม "ทอย" เช่นเดียวกับ "ยอร์คเชีย เทอ เรีย"เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ของสุนัขพันธุ์ออสเตเรียน เทอร์เรียและยอร์คเชีย


มาตราฐานสายพันธุ์

โครงสร้าง : เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดเล็ก ลำตัวสั้นแต่ยาวกว่าส่วนสูง ขนยาว ว่องไว สามารถวิ่งไล่จับหนูได้อย่างคล่องแคล่ว

ศีรษะ : มีขนาดเล็กลักษณะแข็งแรง หัวเป็นรูปลิ่ม ส่วนหูค่อนข้างยาว หัวกะโหลกแบน

หู : มีขนาดเล็ก (แต่ใหญ่กว่ายอร์คเชีย เทอร์เรียอย่างเห็นได้ชัด) มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ขนตั้ง ขนที่ใบหูสั้น (ขนที่หูของยอร์คจะยาวกว่ามาก)

ตา : ค่อนข้างเล็กสีเข้ม แววตาเป็นประกาย ส่อแววฉลาดและร่าเริง

จมูก : มีสีดำ ดั้งจมูกมีมุมหักเล็กน้อย

ปาก : สัดส่วนความยาวของปากต่อกะโหลก ประมาณ 2.5 ต่อ 3.5

ฟัน : แข็งแรงขบแบบกรรไกร ลำตัว : มีความยาวปานกลาง สมส่วน (ลำตัวจะยาวและใหญ่กว่ายอร์คเชีย เทอร์เรีย)

ส่วนอก : กว้างลึก จรดข้อศอก

ขาหน้า : แข็งแรงตั้งตรง เท้าเล็กคล้ายเท้าแมว นิ้วเท้าหนา เล็บสีเข้ม นิ้วติ่งตัดออก เท้าชี้ตรงไปด้านหน้าไม่บิดซ้ายหรือขวา

ขาหลัง : ข้อเท้าหลัง ท่อนบนแข็งแรงซึ่งจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อข้อเท้าหลังทำมุมพอประมาณข้อเท้าหลังสั้น เท้าหลังคล้ายเท้าแมว เล็บสีดำ เท้าชี้ตรงไปด้านหน้า นิ้วติ่งหลังตัดออก

หาง : โคนหางอยู่ในตำแหน่งสูง หางตั้งตรง นิยมตัดหางสั้น บริเวณหางมีขนเล็กน้อย

ขน : ขนมีลักษณะเหยียดตรงเงางามคล้ายแพรวไหม บริเวณหลังขนหูยาวประมาณ 5-6 นิ้ว บริเวณท้องมีขนยาว (ซิลกี้ เทอร์เรีย จะมีขนที่สั้นและบางกว่า ยอร์คเชีย เทอร์เรีย อย่างเห็นได้ชัด)

สี : สีขนสีเทาเงิน-น้ำตาล ขนบริเวณใบหน้าและหูจะสั้น ส่วนท้ายของหัวจรดปลายหางมักจะเป็นสีเทาเงิน บริเวณปากแก้ม หู ข้อเท้าเป็นสีน้ำตาล

ขนาด : เป็นสุนัขขนาดเล็ก (เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะตัวใหญ่กว่า ยอร์คเชียร์

น้ำหนัก : ประมาณ 8-9 ปอนด์ ส่วนสูง : ประมาณ 9-10 นิ้ว อุปนิสัย : สุภาพ เป็นมิตร ฉลาด ตื่นตัวอยู่เสมอ รักเด็กไม่ ขลาดกลัว

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Afghan Hound



ความเป็นมา

จากประเทศที่เขาทำให้ได้ชื่อนี้มา อัฟกัน ฮาวนด์ เป็นสุนัขประจำชาติถึงแม้ว่าจะไม่เป็นทางการก็ตาม ชนพื้นเมืองอัฟกัน เชื่อว่าสุนัขพันธุ์นี้คือสุนัขในภาพวาดบนผนังถ้ำในตอนเหนือของประเทศ แคว้นบัคก์ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สุนัขพันธุ์อัฟกัน ฮาวนด์ มีอีกชื่อหนึ่งว่า บัลก์ฮาวนด์ พวกเขาเป็นนักล่าด้วยสายตามากกว่าการดมกลิ่น เนื่องจากมีสายตาที่ฉับไวเป็นเลิศ และมีความว่องไวซึ่งเป็นสิ่ง สำคัญในการไล่ล่าเหยื่อขนที่หนาฟูปกป้องพวกเขาจากอากาศหนาวจัดในบริเวณตอนเหนือที่มีหิมะตก และในขณะเดียวกันก็ป้องกันพวกเขาจากแสงแดดที่รุนแรงของทะเลทรายอุ้งเท้าที่หนาและใหญ่ และขาหลังที่แข็งแรง ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางข้ามทะเลทราย ร้อนจัดหรือบนเขาขรุขระได้


ช่วงชีวิตเฉลี่ย อัฟกันฮาวน์มีช่วงอายุระหว่าง 12 ถึง 15 ปี


ขนาดและน้ำหนัก เฉลี่ย60 ซม. ถึง 70 ซม.22 กก. ถึง 27 กก.
อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์

กล่าวว่านิสัยดีแต่โดดเดี่ยว รักสันโดด พวกเขามีความจงรักภักดี และเชื่อฟังคำสั่งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าขณะที่เป็นลูกสุนัขเขาจะไม่ชอบเล่นสนุกเหมือนสุนัขทั่วๆไป โดยรวมแล้ว สุนัขพันธุ์นี้เข้ากันได้ดีมากกับเด็ก ๆ ไม่ว่าจะคุณจะพาเขาเข้าบ้านตั้งแต่เป็นลูกสุนัขหรือตอนโตแล้ว แล้วก็ตาม พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรภายในบ้านได้อย่างไม่ขัดเขิน หากคุณพาเขาไปข้างนอก ก็ไม่ควรปล่อยให้เขาเดินเล่นโดยไม่มีสายตูง เพราะทันทีที่สายตาเขาเล็งเห็นเป้าหมายที่น่าสนใจ ประสาทหู ของเขาจะไม่ได้ยินเสียงคำสั่งของคุณอีกต่อไป


ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

อัฟกันสามารถปรับตัวให้เข้ากันกับสัตว์อื่น ๆ หากได้รับการเลี้ยงดูและใช้เวลาร่วมกันมา อย่าลืมว่าสุนัขสายพันธุ์ นี้ถูกพัฒนามาเพื่อใช้สายตาในการล่าสัตว์และสัญชาตญาณนั้นจะควบคุมพฤติกรรม เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับ สัตว์แปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักมาก่อน มีผู้กล่าวไว้ว่าสุนัขพันธุ์นี้พร้อมที่จะปรับตัวได้ เมื่อให้เขาได้เริ่มทำความ คุ้นเคยกับสถานการณ์ใหม่ๆ


ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

สำหรับสุนัขชนิดนี้คุณจำเป็นต้องล้อมรั้ว เนื่องจากสายตาที่ว่องไวของเขามักจะก่อให้เกิดปัญหา คุณควรให้เขาได้ ออกกำลังกาย อาบน้ำและได้รับการดูแลรักษาขนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการให้อาหารที่เหมาะสมกับลักษณะการเจริญเติบโตตั้งแต่ยังเป็นเด็กและควรจะเตรียมน้ำสะอาดให้ พวกเขาตลอดเวลาด้วย


ข้อควรจำ
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสมขอเพียงเข้าใจว่าพวกเขาต้องการออกกำลังกายและให้ความสำคัญต่อการดูแลขนอย่างสม่ำเสมอก็สามารถเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์นี้ได้

Alaskan Malamute



อลาสกัน มาลามิวท์ เป็นสุนัขลากเลื่อน แบบเดียวกับไซบีเรียน ฮัสกี้ แต่อลาสกา มาลามิว เก่าแก่กว่า แข็งแรงกว่า มันไม่เพียงแต่สามารถลากสัมภาระหนักเท่านั้น ยังอึดขนาดลากได้ในระยะทางไกลๆ เชียว




ประวัติ

ชื่ออลาสกา มาลามิว คาดว่า น่าจะตั้งตามชื่อของชนเผ่าฮีมัท ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐอลาสกา ชนเผ่านี้เป็นชนเผ่าเร่ร่อน จึงจำเป็นต้องใช้สุนัขลากเลื่อน เพื่อขนย้ายสัมภาระ หรือเดินทางไกล จึงไม่น่าแปลกใจ ที่อลาสกา มาลามิว จะเป็นสุนัขที่ทั้งแข็งแรง และอดทน จนทำให้ชาวฮีมัทเป็นที่อิจฉาของชนเผ่าอื่นๆ ในอลาสกาทีเดียวล่ะ อย่างไรก็ตาม อลาสกา มาลามิว เกือบจะสูญพันธุ์ ในช่วงที่คนผิวขาว เข้ามาบุกเบิกธุรกิจในอลาสกา แต่พอถึง ค.ศ. 1926 ได้มีผู้นำอลาสกา มาลามิว มาเลี้ยงในสหรัฐอเมริกา อลาสกา มาลามิวจึงถูกอนุรักษ์พันธุ์ไว้ในที่สุด
ลักษณะนิสัย ซื่อสัตย์ ทำงานเก่ง ทั้งลากเลื่อน และเฝ้ายาม นอกจากนี้ ยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก สำหรับครอบครัว
ขนาดโดยประมาณ ส่วนสูง 58-71 ซ.ม. น้ำหนัก 39-57 ก.ก.

ต้นกำเนิด Alaskan Malamute
ชื่อสำหรับชาว Inuit เรียกว่า Mahlemuts, Malamute อะแลสกาได้รับงานโดยคนของอาร์กติกตั้งแต่เวลานมนาน สุนัขเหล่านี้มีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพ counterparts ช่วยมนุษยชนในการนำลงและลากซากของเกมใหญ่เช่นแมวน้ำ, สัตว์แคริบูและแม้แต่หมีขั้วโลกเหล่านี้สุนัขขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพช่วย counterparts มนุษยชนในการนำลงและลากซากของ เกมหมีขนาดใหญ่เช่นแมวน้ำ, สัตว์แคริบูและขั้วแม้ สำหรับการช่วยเหลือเพื่อชาวที่สุนัขเหล่านี้ได้รับการรักษาด้วยความเคารพมากโดยคน Mahlemut สำหรับสนับสนุนเพื่อเผ่าของสุนัขเหล่านี้ได้รับการนับถือมากโดยคน Mahlemut ยุโรปที่เริ่มสำรวจอาร์กติกในช่วงศตวรรษที่ 18 มีวาดนี้ยาก, สุนัขที่ทำงานยุโรปที่เริ่มสำรวจอาร์กติกในช่วงศตวรรษที่ 18 มีวาดนี้ยาก, สุนัขที่ทำงาน วิ่งกับการถือกำเนิดของทองในอลาสกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความต้องการของ Malamute อะแลสกา -- มีความสามารถในการดึงคนและอุปกรณ์ต่างๆที่ยิ่งใหญ่ภูมิหิมะของ Alaska -- skyrocketed ด้วยแอดเวนต์ของ rush ทอง ในอลาสกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความต้องการของ Malamute อะแลสกา -- มีความสามารถในการดึงคนและอุปกรณ์ต่างๆที่ยิ่งใหญ่ภูมิหิมะของ Alaska -- skyrocketed ความปรารถนาที่จะไม่เพียง แต่มวลผลิตพันธุ์ แต่ยังทำให้มันเร็วและแรงทำให้วุ่นวายพันธุ์รับผิดชอบในช่วงเวลาของเขาและจากปีค.ศ. 1920 ที่บริสุทธิ์เป็น Malamute สูญหายเกือบปรารถนาที่จะไม่เพียง แต่มวลผลิตพันธุ์ แต่ยังเพื่อให้เร็วขึ้นและแข็งแรงทำให้วุ่นวายพันธุ์รับผิดชอบในช่วงเวลาของเขาและจากปี ค.ศ. 1920 ที่บริสุทธิ์เป็น Malamute สูญหายเกือบ Thankfully, ผสมพันธุ์ North American ตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเขาก่อนที่จะได้สายเกินไปและเริ่มความพยายามที่จะกลับความเสียหาย Thankfully, ผสมพันธุ์ North American ตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเขาก่อนที่จะได้สายเกินไปและเริ่มความพยายามที่จะกลับความเสียหาย โดยช่วงทศวรรษที่ 1930, Malamute อะแลสกาได้พิสูจน์ครั้งที่คุ้มค่ามากขึ้นในอาร์กติกและภารกิจ Antarctic; ที่สุดยวดพันธุ์ได้เลือกที่จะดึง sleds ของ Admiral Richard Byrd ที่ 1933 รีบเร่งของเขาไปยังขั้วโลกใต้โดยช่วงทศวรรษที่ 1930, อะแลสกา Malamute ได้พิสูจน์ครั้งที่คุ้มค่ามากขึ้นในอาร์กติกและภารกิจ Antarctic; ที่สุดยวดพันธุ์ได้เลือกที่จะดึง sleds ของ Admiral Richard Byrd ที่ 1933 รีบเร่งของเขาไปยังขั้วโลกใต้ แต่ไม่ตั้งใจให้เกิดอย่างรวดเร็วอะแลสกา Malamute ยังกลายเป็นสุนัขยอดนิยมเลื่อนแข่งในช่วงเวลานี้แม้ไม่ตั้งใจให้เกิดอย่างรวดเร็วอะแลสกา Malamute ยังกลายเป็นสุนัขยอดนิยมเลื่อนแข่งในช่วงเวลานี้ Malamute อะแลสกาได้รับการยอมรับจากอเมริกันพันธุ์ Club ในปี 1935 เป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน Malamute อะแลสกาได้รับการยอมรับจากอเมริกันพันธุ์ Club ในปี 1935 เป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน DNA หลักฐานล่าสุดได้แสดงให้เห็นว่าลักษณะ wolf -- เช่นอะแลสกาเป็น Malamute หลักฐานไม่ผิดพลาด DNA ล่าสุดพบว่าลักษณะ wolf - like อะแลสกาเป็น Malamute ไม่ผิดพลาด Malamute เป็นหนึ่งใน 14"พันธุ์"โบราณที่มี DNA เป็นอีกคล้ายกับ wolves ดีเอ็นเอของกว่าพันธุ์อื่น ๆ Malamute เป็นหนึ่งใน 14"พันธุ์"โบราณที่มี DNA เป็นอีกคล้ายกับดีเอ็นเอของ wolves กว่าพันธุ์อื่นๆ

***ไซบีเรียนฮัสกี้ กับ อลาสกันมาลามิว คล้ายกันมาก เกือบจะเรียกว่าแฝดเลยเชียวแต่ไม่เหมือนกัน ถ้าสังเกตดีๆ อลาสกันมาลามิว ตัวใหญ่กว่าไซบีเรียน ฮัสกี้ดุกว่าแถมดื้อ อีกต่างหาก

อลาสกัน มาลามิวท์ เกิดมาเพื่อเป็นสุนัขทำงาน เพราะนอกจากลากเลื่อนแล้ว ยังถูกใช้ในการล่าสัตว์ เฝ้ายาม ก็อยากเกิดเป็นสุนัข 'อึด' นี่นา... ขนของอลาสกา มาลามิวท์เป็นขน 2 ชั้น โดยขนชั้นนอกจะหยาบหนา และยาว ส่วนขนชั้นใน จะอ่อนนุ่ม และมีน้ำมัน จากใต้ผิวหนังมาหล่อเลี้ยง อลาสกัน มาลามิวท์ จึงทนกับภูมิอากาศที่หนาวเย็น และพายุหิมะในแถบขั้วโลกเหนือได้ เป็นอย่างดี สีของขนอาจพบได้ ตั้งแต่สีเทาอ่อน เทาดำ สีเหลืองทองอมแดง หรือสีน้ำตาลปนแดง



ข้อแตกต่างของ "อลาสกัน มาลามิวท์" และ "ไซบีเรียส ฮัสกี้"
เจ้าอลาสก้า เป็นสุนัขที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนที่อาศัยอยู่ขั้วโลกเหมือนกัน แต่อันที่จริงแล้ว เป็นคนละสายพันธุ์กันโดยสิ้นเชิง ทั้งอุปนิสัยและรูปร่างตามมาตรฐาน เช่น ไซบีเรียนอาจจะมีตาสีน้ำตาล ฟ้า ตาสองสี แต่อลาสก้าห้ามมีตาสีฟ้าเด็ดขาด จะถือว่าเป็นข้อด้อย และรูปร่างที่ดีของอลาสก้าจะต้องสูงใหญ่มากกว่าไซบีเรียน ส่วนด้านลักษณะนิสัย ไซบีเรียนเป็นสุนัขที่มีความกระตือรือร้นสูง เป็นมิตร สุภาพ ตื่นตัว และเข้าสังคมง่าย ไม่เหมาะเป็นสุนัขเฝ้ายามเด็ดขาด แต่อลาสก้าจะมีนิสัยที่ต่างกับไซบีเรียน คือความเป็นมิตร เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ ดูสง่างาม พึ่งพาได้ หรือจะสมมติให้ไซบีเรียนเป็นเด็กวัยซน อลาสก้าก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขุมมากกว่า แต่การที่จะเลี้ยงเจ้าอลาสก้าได้ก็มีเงื่อนไขคือว่า ไม่ควรให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ และก็ไม่ควรเลี้ยงตามห้องชุดที่มีพื้นที่คับแคบด้วย เพราะอลาสก้าเดิมทีเป็นสุนัขลากเลื่อนมีความแข็งแรง ถ้าหากเลี้ยงขังเอาไว้ไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีได้
แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะทั้งไซบีเรียนและอลาสก้าต่างมีนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ไม่เหมาะที่จะมาเฝ้าบ้าน เพราะเป็นสุนัขใช้งานทั่วๆไปที่มีพลังงานสูงต้องการการออกกำลังมาก มันควรได้รับการปฏิบัติแบบเพื่อนเดินทางและสุนัขลากเลื่อนไม่ใช่สุนัขอารักขา ทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีความอ่อนโยนและซื่อสัตย์ แต่ด้วยรูปร่างที่ตัวโต ดูน่ากลัว อาจทำให้โจรไม่กล้าเข้าบ้านเลยก็ได้
ในการเล้ยงสุนัข ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหนๆต่างก็ต้องการการดูแลไม่ต่างกัน แต่ถ้าเป็นพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงอย่างเจ้าอลาสก้าก็ต้องอาศัยการดูและเอาใจใส่ที่มากกว่าสุนัขธรรมดา ดังนั้นการเลี้ยงเจ้าอลาสก้าจึงไม่ใช่การซื้อมาและปล่อยไปตามเรื่องตามราว แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงไปมากสำหรับคนที่รักสุนัข และเจ้าอลาสก้าเป็นสุนัขที่รักเจ้าของ ทำให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนได้เหมือนกับเป็นสมาชิกตัวหนึ่งในครอบครัวเลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

American Eskimo Dog



อเมริกันเอสกิโมเป็นสุนัขขนาดเล็ก Nordic ประเภทขนาดกลางที่มีลักษณะเล็ก Samoyed มีสามพันธุ์ : ของเล่น, เล็ก, และมาตรฐาน อเมริกันเอสกิโมมีหัวรูปลิ่มด้วยปากกระบอกปืนและกะโหลกศีรษะเกี่ยวกับความยาวเดียวกัน ได้ยกหูรูปสามเหลี่ยมและหาง plumed หนักกว่าดัดหลัง ขนเสมอขาวหรือขาวหรือครีมบิสกิตเครื่องหมาย ผิวของพวกเขาคือสีชมพูหรือสีเทา ขนเป็นหนักรอบคอสร้างสร้อยหรือสร้อยโดยเฉพาะในเพศชาย พันธุ์เล็กน้อยนานกว่าจะสูง จะเข้าใจผิดบางครั้งสำหรับสุนัขพันธุ์หนึ่งของญี่ปุ่นและ Samoyed Dog

ประวัติความเป็นมา
The American Eskimo Dog ("Eskie")"เป็นรูปแบบที่ทันสมัยของครอบครัวโบราณมากของสุนัข สุนัขพันธุ์หนึ่งสุนัขชนิดการพัฒนาในอาร์กติกและบริเวณตอนเหนือของโลกประเภทใหญ่ถูกใช้เป็นสุนัขเลื่อน สุนัขอเมริกันเอสกิโมใช้เพื่อภูมิอากาศทั้งในเชิงลบและสามารถทนต่อความร้อน แต่หิมะ สุนัขเหล่านี้คล้าย wolves และ absolutelly รักฝน, หิมะหรือเงา พวกเขาจะทำดีในพื้นที่อากาศ แต่ไม่แนะนำสำหรับสภาพอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี แต่ Eskie เป็นพันธุ์เฉพาะเพื่อป้องกันคนและทรัพย์สินและมีอยู่ในอาณาเขตโดยธรรมชาติและสุนัขดูดี เขามากจงรักภักดีต่อครอบครัวและเป็นที่รู้จักกันเป็นอ่อนโยนและขี้เล่นกับเด็กอ้างอิง [จำเป็น] เขามีพลังการแจ้งเตือนและฉลาดมาก ในยุโรปเหนือสุนัขพันธุ์เล็กได้เก็บไว้เป็นหลักเป็นสัตว์เลี้ยงและ watchdogs และในที่สุดได้พัฒนาเป็นหลายสายพันธุ์สุนัขพันธุ์เยอรมัน ยุโรปอพยพมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์หนึ่งกับพวกเขาในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ New York ในช่วงต้นทศวรรษ 1900"ทั้งหมดของพวกเขาลงมาจากสุนัขพันธุ์ใหญ่เยอรมัน, Keeshond, สีขาวเกี่ยวกับแคว้นพอเมอะเรเนียะและอิตาลีสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ Volpino Italiano แต่สีขาวไม่เสมอสีที่ยอมรับในหลายสายพันธุ์สุนัขพันธุ์เยอรมันก็คือโดยทั่วไปสีที่ต้องการในสหรัฐอเมริกา . ในการแสดงผลของความรักชาติในยุคประมาณสงครามโลกครั้งที่เจ้าของสุนัขเริ่มหมายถึงสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นชาวอเมริกัน สุนัขพันธุ์สุนัขพันธุ์หนึ่งมากกว่าเยอรมัน เปลี่ยนชื่อนี้คล้ายกับการใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาของเฟ Freedom ระยะมากกว่ามันฝรั่งทอดอ้างถึงจานมันฝรั่งที่เป็นที่นิยมในข้อพิพาทระหว่างประเทศฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาก่อน 2003 การบุกรุกของอิรัก หลังสงครามโลกครั้งที่สุนัขสุนัขพันธุ์เล็กมาถึงความสนใจของสาธารณชนอเมริกันเมื่อสุนัขบันเทิงเป็นที่นิยมในวงเวียนอเมริกัน In 1917, Cooper บราเดอร์ของรถไฟ Circus featured สุนัข สุนัขชื่ออ้วนของ Pal Pierre มีชื่อเสียงเดินเส้นขึงตึงที่ใช้ในการเดินไต่หรือเล่นกายกรรมด้วย Barnum Bailey Circus และในช่วงทศวรรษที่ 1930 เนื่องจากความนิยมของสุนัขละครสัตว์หลายวันนี้ American Eskimo Dogs สามารถติดตามเชื้อสายของสุนัขเหล่านี้กลับไปที่วงเวียน หลังสงครามโลกครั้งที่สุนัขยังคงเป็นที่นิยมเลี้ยง ติดต่อหลังสงครามกับประเทศญี่ปุ่นนำไปสู่การนำเข้าในประเทศสหรัฐอเมริกาของญี่ปุ่นสุนัขพันธุ์หนึ่งซึ่งอาจมีการข้ามสายพันธุ์เข้าในขณะนี้ สายพันธุ์ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกเป็น"อเมริกันเอสกิโม"เป็นต้นเป็น 1919 โดย American United พันธุ์ Club (UKC) และเขียนบันทึกแรกและประวัติของสายพันธุ์ได้พิมพ์ใน 1958 โดย UKC ในขณะที่มีสายพันธุ์ club ไม่เป็นทางการและไม่มาตรฐานสายพันธุ์และสุนัขได้รับการลงทะเบียนเป็นสุนัขเดียวตามลักษณะ ในปี 1970 แห่งชาติ American Eskimo Dog Association (NAEDA) ก่อตั้งและจดทะเบียนสุนัขเดียวหยุด ในปี 1985 อเมริกันเอสกิโม Dog Club of America (AEDCA) ก่อตั้งขึ้นโดย fanciers ที่ประสงค์จะลงทะเบียนสายพันธุ์กับสุนัขอเมริกัน Club (AKC) ต่อไปนี้ต้องการ AKC สำหรับการยอมรับพันธุ์ AEDCA ที่รวบรวมข้อมูลจาก 1,750 สายเลือดสุนัขที่ตอนนี้เป็นพื้นฐานของ AKC ได้รับการยอมรับสายพันธุ์ที่เรียกว่า American Eskimo Dog สายพันธุ์ได้รับการยอมรับจากอเมริกันพันธุ์ Club ในปี 1995 หนังสือปุ่มเปิด 2000-2003 ในความพยายามที่จะลงทะเบียนมากกว่าเดิมสายลงทะเบียน UKC และวันนี้หลายสุนัขอเมริกันเอสกิโมเป็น dual - ลงทะเบียนกับทั้งสองสโมสรสุนัขอเมริกัน . สายพันธุ์ยังเป็นที่รู้จักโดยแคนาดาพันธุ์ Club เป็นของปี 2006 แต่ไม่รู้จักที่อื่นในโลก The American Eskimo Dog ไม่ใช่สายพันธุ์สากลและเนื่องจากไม่มีของชมรมสุนัขอเมริกันเป็นพันธมิตรกับสภา Cynologique คอมมิวนิสต์, fanciers ประสงค์จะเข้าร่วมในการแสดงสุนัขนานาชาติที่จะลงทะเบียนสุนัขอเมริกันเอสกิโมเป็นคล้ายสุนัขพันธุ์เยอรมัน นี้จะกระทำโดยเฉพาะบุคคลที่ประสงค์จะเข้าร่วมในกีฬาสุนัขในการแสดงระหว่างประเทศและไม่ได้หมายความว่าสุนัขอเมริกันเอสกิโมและเยอรมันสุนัขพันธุ์หนึ่งเหมือนกัน สายพันธุ์อาจมีต้นกำเนิดทั่วไปที่เหมือนกัน แต่มีการพัฒนาแตกต่างกันในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา




American Bulldog



มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ จัดอยู่ในกลุ่มมาสติฟ (Mastiff) โดยเชื่อกันว่าบูลด็อกเป็นสุนัขกลายพันธุ์มาจากสุนัขพันธุ์ Tibetan Mastiff ที่ดูโครงสร้างภายนอกไม่สมประกอบ มีตำราบางเล่มระบุว่าบูลด็อก สุนัขที่เกิดจากการถูกผู้เลี้ยงดูอย่างทรมานเพื่อให้ได้มาซึ่งสุนัขที่มีรูปร่างหน้าตาไม่สมประกอบ เช่น การนำวัสดุแข็งๆมาทำเป็นหน้ากากคลุมหัวบูลด็อกไว้ เพื่อให้มีใบหน้าสั้นผิดปรกติไปจากสุนัขตัวอื่นๆ หรือการยับยั้งการเจริญเติบโตของสุนัขด้วยการขังไว้ในที่แคบๆจนแทบไม่สามารถกระดิกตัวได้ เพื่อให้สุนัขมีรูปร่างแคระแกร็น คำว่า บูล (Bull) ซึ่งหมายถึงบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีรูปร่างคล้ายวัวขนาดเล็ก ชื่อนี้ได้มาจากการที่ชาวอังกฤษในสมัยยุคก่อนๆได้ฝึกสุนัขพันธุ์นี้ไว้เพื่อต่อสู้กับวัว เป็นการยากที่จะหาหลักฐานมาอ้างอิงว่าบูลด็อกกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อใดแต่มีข้ออ้างอิงที่เป็นไปได้คือ ในสมัยปี ค.ศ. 1209 ซึ่งตรงกับยุคสมัยของกษัตริย์จอห์นโดยท่านลอร์ดวิลเลี่ยม เอริล์วอร์เรนได้มองเห็นวัว 2 ตัว กำลังต่อสู้กันในสนามหญ้าหน้าวังของท่าน เพื่อแย่งชิงวัวตัวเมียอีกตังหนึ่ง จนกระทั่งฝูงสุนัขเลี้ยงวัวของคนเลี้ยงวัวได้ออกมาขับไล่วัวคู่นั้นออกไปจากบริเวณสนามท่านลอร์ดมีความยินดีมากและเกิดความคิดที่ว่าจะให้มีเกมกีฬาชนิดใหม่ขึ้นมาคือกีฬาสุนัขต่อสู้กับวัว ซึ่งต่อมาก็เป็นกีฬาที่นิยมกันมากในประเทศอังกฤษ บูลด็อกโดยมากจะได้รับการฝึกให้มีนิสัยก้าวร้าวดุร้าย โดยเจ้าของสุนัขจะลงโทษด้วยวิธีการที่เจ็บปวด จึงทำให้บูลด็อกในอดีตมีนิสัยที่ดุร้าย ในการต่อสู้ในเกมกีฬาที่แสนหฤโหดและนองเลือด บูลด็อกจะถูกปล่อยลงสนามให้ต่อสู้กับวัวที่กำลังบ้าคลั่งโดยมันจะบุกโจมตีบริเวณใบหูของวัว และกัดอยู่นานจนกว่าจะล้มวัวตัวนั้นได้ ต่อมาก็ได้มีการผสมพันธุ์เจ้าหน้าแก่นี้เสียใหม่ให้มีตัวเล็กลง เพื่อความว่องไวและปราดเปรียว ขณะเดียวกันจมูกที่เคยโด่งออกก็ถูกผสมให้แนบแบนติดกับใบหน้าเสีย เพราะจะทำให้มันโจมตีคู่ต่อสู้ได้นานกว่าเดิม


มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : บูลด็อกที่สมบูรณ์แบบต้องมีขนาดปานกลาง รูปรางบึกบึนและหนา กระดูกและกะโหลกศีรษะมีขนาดใหญ่มาก หน้าสั้น ใหญ่ กว้าง บริเวณหน้าผากมีรอยย่นลึก ตาอยู่ในตำแหน่งห่างจากใบหู กล้ามเนื้อหนังตาบนจะย่นเหมือขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากหนาและกว้าง มีกล้ามเนื้อหนาแน่น แขน ขาล่ำสัน แข็งแรง แผ่นหลังโค้งเล็กน้อย และจะยกสูงบริเวณสะโพก ลำตัวส่วนท้องจะคอด กระดูกซี่โครงมีลักษณะห่อกลมคล้ายมะขามป้อม ตะโพกค่อนข้างเล็ก หางสั้นและขดแน่นกับส่วนหลัง ด้านอุปนิสัยมีความทรหดอดทน อารมณ์คงที่มั่นคงอย่าเสมอต้นเสมอปลาย มีความตั้งใจแน่วแน่ กล้าหาญ พฤติกรรมที่แสดงออกเป็นไปอย่างสงบและสง่า ท่าทางการเดินมีลักษณะแปลกเฉพาะตัว คล้ายข้อต่อกระดูกไม่แข็งแรง เหมือนการลากไป มีลักษณะการเคลื่อนที่ไปทางด้านข้างคล้ายการกลิ้งไป แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ต้องไม่เกร็ง เป็นอิสระและเข้มแข็ง

ศีรษะ : ควรมีขนาดใหญ่ เมื่อวัดรอบศีรษะ โดยวัดจากด้านบนลงล่างผ่านใบหูควรจะมีความยาวมากกว่าความสูงของตัว เมื่อมองจากด้านหน้าศีรษะควรสูงมาก เมื่อมองจากมุมของขากรรไกรล่างไปถึงจุดสูงสุดของกะโหลกกว้างมากเป็นสี่ เหลี่ยม เมื่อมองจากด้านข้างศีรษะอยู่สูงมาก และจากจมูกถึงท้ายทอยสั้นมาก หน้าผากควรมีรอยย่นลึกเป็นแนว และมีเส้นผ่าลึกลงมาจากส่วนบนมายังจมูกและปาก

จมูก : จมูกควรใหญ่ แลดูกว้างแต่สั้น ปลายจมูกควรจะมีรอยย่นลึก จมูกมีเส้นแบ่งเขตแนวชัดเจน รูจมูกใหญ่และเชิด จมูกควรจะมีสีเข้ม หากเป็นสีดำสนิทได้ยิ่งดี จมูกสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำไม่เป็นที่นิยม จมูกแดงเป็นสีเดียวกับสีผิวถือว่าผิดลักษณะ และถ้าจมูกเป็นสีชมพูถือว่าเป็นจุดด้อยอย่างมาก นอกจากนี้จมูกต้องไม่แห้งหรือเปียกชุ่มเกินไป

ปาก : ริมฝีปากบนควรหนา กว้างและลึกมากห้อยลงมาปิดกรามล่างได้มิดชิด หากมองจากด้านข้างจะปิดริมฝีปากล่างและฟันมิดชิด แผ่นหลังที่หุ้มปากทั้งสองด้านควรมีขนาดใหญ่และยาวเท่าๆ กัน ขากรรไกรล่างใหญ่กว้าง เป็นสี่เหลี่ยมยื่นเลยขากรรไกรบนและงอนขึ้น

ฟัน : ฟันควรอยู่ครบ 42 ซี่ ฟันล่างจะเกยอยู่ด้านนอก ฟันที่ดีต้องซี่ใหญ่แข็งแรงมั่นคง ฟันที่ยื่นออกมาต้องไม่มีลักษณะโค้งงอ ฟันเขี้ยวอยู่ห่างจากกัน ฟันตัด 6 ซี่ที่อยู่ด้านหน้าระหว่างฟันเขี้ยวอยู่ในแนวระดับเดียวกัน เวลาอ้าปากจะเห็นฟันซี่เล็กๆ 6 ซี่ทางด้านหน้า เวลาหุบปากไม่ควรจะให้เห็นฟันจึงจะดี และฟันควรขาวสะอาด

ตา : ดวงตาควรมีลักษณะกลม ขนาดปานกลาง ไม่จมลึกหรือยื่นออกมามากเกินไป เมื่อมองจากด้านหน้าจะฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะ อยู่ห่างจากหูมาก และตาทั้ง 2 ข้างไม่ควรอยู่ห่างกันมากนัก สีลูกตาควรเป็นสีเข้ม หนังตาปิดตาขาว

หู : ฐานหูทั้ง 2 ข้างควรจะยกสูงและควรจะอยู่ในตำแหน่งที่สมดุลกัน ใบหูควรเล็กและบาง ปลายหูควรพับลงมาแนบกับศีรษะ ควรอยู่ห่างจากตาพอเหมาะ ลักษณะใบหูที่ดีควรมีลักษณะโคนตั้งปลายตกหรือกับกลีบดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด หูไม่ควรตั้งตรงและไม่ควรตกลงมาทั้งหมด

คอ : เนื่องจากบูลด็อกเป็นสุนัขที่มีส่วนหัวใหญ่ ลำคอจึงควรใหญ่หนา สั้นและแข็งแรง และเป็นส่วนโค้งทอดไปยังส่วนหลัง หนังใต้ลำคอจะหย่อนลงมาเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ควรปล่อยให้ยาน เพราะถ้ายานและมีหนังหย่อนมามากแสดงว่ากำลังอ้วนเป็นพะโล้ แก้ไขโดยการออกกำลังกายบ่อยๆ

ไหล่ : หัวไหล่ควรมีขนาดใหญ่ กว้างและมีมัดกล้ามเนื้อหนา ก่อให้เกิดความสมดุลและพละกำลังมาก

อก : กว้างมาก ลึกและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เห็นกล้ามเนื้อที่อกได้ชัดเจน ซี่โครงโค้งกลมจากหัวไหล่จนไปถึงจุดต่ำสุดของหน้าอก ทำให้สุนัขมองดูมีลักษณะกว้าง เตี้ยและขากว้าง

ลำตัว : แข็งแรงกำยำ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ควรผอมจนเห็นซี่โครงและไม่ควรอ้วนจนมองไม่เห็นกล้ามเนื้อบริเวณท้องน้อย ควรจะขอดเล็กน้อย แนวสันหลังควรสั้นและแข็งแรง บริเวณที่ไหล่กว้างมากและค่อนข้างแคบ บริเวณบั้นท้ายซึ่งเป็นจุดที่ควรสูงกว่าความสูงที่ไหล่และมีความโค้งลาดต่ำ อีกครั้งลงไปที่หาง ซึ่งเป็นลักษณะที่เด่นชัดมากสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ จึงเรียกว่าหลังแมลงสาบหรือหลังวงล้อ

สะโพก : ควรจะโค้งมนได้รูป ส่วนก้นกลมและไม่มีกระดูกโปนออก

ขาหน้า : ควรสั้น สุนัขพันธุ์นี้มีขาหน้าที่สั้นกว่าขาหลัง ดังนั้นเมื่อสุนัขยืนจะทำให้ช่วงหน้าของลำตัวต่ำกว่าบั้นท้าย ขาที่ดีต้องแข็งแรง กระดูกขาใหญ่ ต้นขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ขาหน้าเวลายืนควรอยู่ห่างกัน ช่วงบนของขาหน้าแลดูเป็นวงโค้ง ข้อศอกควรอยู่ห่างจากลำตัว เท้าและนิ้วเท้าใหญ่พอประมาณแลดูกระทัดรัด เล็บที่ขาควรมีสีเข้มและควรเป็นสีเดียวกันกับขนบนลำตัว

ขาหลัง : แข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและยาวกว่าขาหน้า เวลายืนตะโพกจะเชิดสูงทำให้ดูหลังแอ่น ส่วนขาควรสั้นและแข็งแรง ลักษณะของเท้าที่ดี ข้อเท้าที่ขาหลังควรจะหันออกจากลำตัวเล็กน้อย ขาหลังควรบิดออกเล็กน้อย

เท้า : ควรมีขนาดปานกลาง กระทัดรัดและแข็งแรง ปลายเท้าหน้าอาจตรงหรือเปิดออกเล็กน้อย แต่ขาหลังควรยื่นออกด้านนอก

หาง : อาจตรงหรือเป็นเกลียว แต่ไม่โค้งหรือม้วน หางต้องสั้น ห้อยต่ำ โคนหางใหญ่ ปลายเล็ก ถ้าหางเป็นเกลียว การม้วนหรือขมวดของหางจะมีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายก้นหอยแต่ต้องไม่หงิกงอ ปลายหางไม่ควรม้วนลงไปถึงโคนหาง

ขน : ขนควรสั้นและเหยียดตรงแบนราบกับลำตัว สีของขนควรสม่ำเสมอ สะอาดสดใสและดูเป็นมันเงา ขนต้องไม่ยาวหรือขึ้นเป็นลอน

ผิวหนัง : อ่อนนุ่มและไม่ตึง โดยเฉพาะที่หัว คอและหัวไหล่ รอยย่นและเหนียงตรงคอ ศีรษะและหน้าควรปกคลุมด้วยรอยย่นขนาดใหญ่ และที่คอจากขากรรไกรจนถึงหน้าอกควรจะมีรอยย่นที่ห้อยออกมาเป็น 2 แนว

สี : สีขนของบูลด็อกมีหลายสี สำหรับสีขนที่ถือเป็น 2 สีในตัวเดียวกัน ในสุนัขที่มี 2 สี แต่ละสีควรเป็นสีเดียวที่บริสุทธิ์ไม่มีสีอื่นเจือปนให้เป็นสีผสม และควรมีการกระจายสีในลักษณะที่สมดุล บูลด็อกที่มีสีดำทั้งตัวไม่เป็นที่นิยม แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เป็นที่ยอมรับ สำหรับบูลด็อกที่มีสีนอกเหนือจากที่กล่าวมาในข้างต้นถือว่าใช้ไม่ได้

การเดินการวิ่ง : ถึงแม้จะดูอืดอาดเชื่องช้าเวลาเดินต้องส่ายสะโพกไปมา ลักษณะการก้าวย่างควรดูอิสระ คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ไม่อืดอาดเวลาเดิน ลำตัวต้องไม่แกว่งมาก จนดูเหมือนไม่มีกระดูก
น้ำหนักและส่วนสูง: เพศผู้ควรมีน้ำหนักอยู่ในช่วงระหว่าง 24-25 กิโลกรัม เพศเมียอยู่ในช่วง 22-23 กิโลกรัม ส่วนความสูงเพศผู้ควรอยู่ระหว่าง 16-18 นิ้ว และเพศเมียควรสูง 12-15 นิ้ว

ข้อบกพร่อง : จมูกมีสีเนื้อหรือจมูกเผือก

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Scottsh Terrier



สก๊อตติช เทอร์เรียร์(Scottsh Terrier) เป็นหนึ่งในลูกหลานของ สกอตช์ เทอร์เรีย ที่เก่าแก่ช่วงเดียวกับ แดนดี้ ดินมอนท์เทอร์เรียร์ เครน เทอร์เรียร์ และเวสต์ ไฮแลนด์ ไวท์ เทอร์เรีย ยังไม่ทราบถิ่นกำเนิดที่แน่นอนของสายพันธุ์นี้ แต่ถ้าดูจากหลักฐานที่เคยมีมาโดยดูจาก รูปร่างและขนาดของสุนัขที่เล็ก มีขนลวด เป็นลักษณะสำคัญที่บอกถึงจุดประสงค์ในการใช้งานของสายพันธุ์ที่เป็นต้นกำเนิด นั่นคือพัฒนาเพื่อการไล่ล่าและกำจัดสัตว์ป่าประเภทต่างๆ เช่น สุนัขจิ้งจอก ตัวแแบดเจอร์ (สัตว์ขนาดเท่าสุนัขจิ้งจอกเท้ามีเล็บอย่างหมี) พังพอน และหนู ที่คอยสร้างปัญหาให้กับชาวนา ชาวสก๊อตในยุคนั้นความสูญเสียที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อผู้คนเหล่านี้ที่การดำรงชีวิตต้องขึ้นอยู่กับผลิตผลที่ได้จากที่ทำกินของเขา ดังนั้นตัวสุนัขจึงถูกพัฒนาให้มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ มีความกล้าหาญ กระทัดรัด และเป็นฝูงสุนัขไล่ล่าที่ทรหด ลักษณะเหล่านี้ยังเป็นเครื่องหมายของสายพันธุ์นี้จนถึงปัจจุบัน

ลักษณะเด่น
มีขนยาว เรียบ ละเอียด เงา สลวยและเงางาม มีขนยาวที่หัว ซึ่งจะรวบหรือรัดด้วยโบว์ก็ได้ มีขนที่จมูกและปากยาว สีขนเป็นสีเงินออกน้ำเงินและสีทอง ลูกสุนัขเกิดใหม่จะมีสีน้ำตาลและสีดำ

นิสัย
เป็นสุนัขขนาดจิ๋วที่ตื่นตัว กระฉับกระเฉง ชอบทำตัวเป็นพี่เบิ้ม ทำนองว่าตัวเล็กใจใหญ่ ชอบให้คนมาเอาใจ เข้ากับเด็กที่เรียบร้อย ควรให้ได้คุ้นเคยกันตั้งแต่เล็ก มันจะเห่าบอกเจ้าของเมื่อมีคนมาหา

การตัดแต่งขนและการออกกำลังกาย
ควรได้รับการดูแลแปรงขนทุกวัน และเนื่องจากมันมีกิจกรรมคือวิ่งเล่นทั่วบ้านอยู่แล้ว จึงไม่ต้องพาไปวิ่งหรือเดินเล่น
ไกลๆ อีก

Lhasa Apso

ลาซา แอปโซ


ส่วนสูง : 10-11 นิ้ว

น้ำหนัก : 14-15 ปอนด์ วงจรชีวิต : 12-14 ปี

การจัดกลุ่มพันธุ์ : สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน
ลักษณะเด่น : มีขนยาว หนัก เป็นเส้นตรง หนาและแน่น แต่ไม่เงางาม สีขนเป็นสีทราย สีน้ำผึ้ง สีควันบุหรี่ สีเทาดำ สีดำ สีขาว หรือหลายสีผสมกัน

นิสัย : เป็นสุนัขอารมณ์ดี ไม่ก้าวร้าว ค่อนข้างเงียบเรียบร้อย หากเจอคนแปลกหน้าแรกๆ อาจจะไม่ไว้ใจ แต่สักพักจะค่อยๆ สำรวจและทำความรู้จัก อาจจะเล่นกัดเจ็บๆ กับเด็ก ดังนั้น การนำไปฝึกสอนและให้ได้คุ้นเคยกับเด็กตั้งแต่เล็กจึงมีส่วนสำคัญ การฝึกสอนควรเป็นไปอย่างช้าๆ และให้คำชมเชยเมื่อทำตามคำสั่งการตัดแต่งขนและการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ขนพันกัน หรือจับตัวเป็นก้อน ควรหมั่นแปรงขนให้ทุกวัน การเล็มขนก็ทำได้แสนง่ายโดยตัดให้สั้นลง ควรให้มันได้เดินเล่นใกล้ๆ บ้านทุกวัน


ถิ่นกำเนิด : เจ้าสิงโตน้อยมีที่มาจากประเทศทิเบตเมื่อ 800 ปีก่อนคริสตกาล เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ ลาซา แอปโซ เมื่อราวศตวรรษที่ 7 เจ้าสิงโตน้อยตัวนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงไว้เฝ้าวัดและโบสถ์ของศาสนาพุทธ มันจะเห่าบอกเมื่อมีผู้บุกรุก


ข้อควรระวังเป็นพิเศษ : ไม่เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงมือใหม่


ปัญหาสุขภาพของสายพันธุ์ : โรคเปลือกตาอักเสษ โรคจอรับภาพเสื่อมเรื้อรัง โรคไตตั้งแต่กำเนิด โรคกระดูกสะบ้าเคลื่อน


***สันนิษฐานกันว่า 'Lhasa' น่าจะหมายถึง เมืองหลวงของประเทศธิเบต ในขณะที่ 'Apso' มาจากคำว่า 'abso seng kye' ที่แปลว่า สุนัขเฝ้ายาม หรือไม่ก็มาจากคำว่า 'rapso' แปลว่า คล้ายกับแพะ ซึ่งอาจมี ที่มาจากขนยาวๆ คล้ายกับแพะนั่นเอง อีกชื่อหนึ่งที่ชาวธิเบตมักจะใช้เรียกลาซา แอปโซ คือ สุนัขสิงโต ทั้งนี้อาจเป็น เพราะสีขนน้ำตาลอมทอง ที่คล้ายๆ สิงโตนั่นเอง ใครที่คิดจะเลี้ยงสุนัขตัวนี้ คงต้องรักสุนัขมากๆ และมีเวลาพอสมควร สำหรับการดูแลขน ไม่งั้นขนจะไม่เงางาม และยุ่งเหยิงเสียหมด